简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

เจาะลึกความแตกต่าง At the Money vs In the Money vs Out of the Money

เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-30

การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างราคาใช้สิทธิ (Strike Price) ของออปชันและราคาตลาดปัจจุบัน คือรากฐานของการเทรดออปชัน ลองนึกภาพเหมือนการแข่งขันระหว่างนักวิ่งสองคน คนหนึ่งแทนราคาใช้สิทธิ อีกคนแทนราคาตลาด ว่านักวิ่งคนใดนำหรืออยู่ตามหลัง จะเป็นตัวกำหนดว่าออปชันนั้นอยู่ในสถานะ In the Money, Out of the Money หรือ At the Money ซึ่งตำแหน่งนี้เองบอกทุกอย่างเกี่ยวกับโอกาสทำกำไร ความเสี่ยง และจังหวะเวลาในการเทรด


สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ คำสามคำนี้อาจดูเหมือนศัพท์เฉพาะ แต่แท้จริงแล้วคือโครงสร้างสำคัญของทุกดีล การรู้ว่าออปชันอยู่ในตำแหน่งใดเมื่อเทียบกับราคาตลาด จะช่วยให้เข้าใจไม่เพียงแค่ “มูลค่าปัจจุบัน” แต่ยังรวมถึง “ความน่าจะเป็น” ที่ออปชันจะมีกำไรก่อนหมดอายุ การเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้จึงเป็นก้าวแรกของการสร้างกลยุทธ์เทรดที่ชาญฉลาดและมีการควบคุมมากขึ้น

At the Money


At the Money คืออะไร?


ออปชันแบบ At the Money (ATM) หมายถึงสถานการณ์ที่ ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) ของออปชันมีค่าใกล้เคียงหรือเท่ากับ ราคาตลาดปัจจุบัน ของสินทรัพย์อ้างอิง ในกรณีนี้ ออปชันจะ ยังไม่มีกำไรทันที หากถูกใช้สิทธิ์ แต่จะมี ความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา สูงที่สุด


ตัวอย่างเช่น หากหุ้นของ Apple มีราคาซื้อขายอยู่ที่ 200 ดอลลาร์ ออปชันแบบ Call หรือ Put ที่มีราคาใช้สิทธิ 200 ดอลลาร์จะถือว่าเป็น At the Money หากราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ออปชัน Call จะเริ่มมีมูลค่าในตัว (Intrinsic Value) ในขณะที่การลดลงเพียงเล็กน้อยจะเป็นประโยชน์ต่อออปชัน Put เทรดเดอร์มักเลือกใช้ At the Money Options เมื่อต้องการเก็งกำไรจากความผันผวนของตลาด แต่ยังไม่มั่นใจในทิศทางที่แน่นอน


ออปชันแบบ ATM มักมีมูลค่าเวลา (Time Value) หรือที่เรียกว่ามูลค่านอก (Extrinsic Value) สูงที่สุด เพราะมีโอกาสมากที่สุดที่จะ “เข้า In the Money” ก่อนวันหมดอายุ จึงเป็นออปชันยอดนิยมในการใช้กลยุทธ์เช่น Straddle และ Strangle ที่นักเทรดจะซื้อทั้ง Call และ Put ในราคาใช้สิทธิใกล้เคียงกัน เพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาไม่ว่าขึ้นหรือลง


In the Money คืออะไร?


ออปชันแบบ In the Money (ITM) หมายถึงออปชันที่มีมูลค่าในตัว (Intrinsic Value) อยู่แล้ว กล่าวคือ หากใช้ออปชันทันที เทรดเดอร์จะได้กำไร สำหรับ Call Option จะเกิดขึ้นเมื่อราคาตลาดสูงกว่าราคาใช้สิทธิ ส่วน Put Option จะเกิดขึ้นเมื่อราคาตลาดต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ


ตัวอย่างเช่น หากราคาหุ้นของ Apple เพิ่มขึ้นเป็น 210 ดอลลาร์ ขณะที่คุณถือ Call Option ที่ราคาใช้สิทธิ 200 ดอลลาร์ ออปชันนี้จะถือว่า “In the Money” มูลค่า 10 ดอลลาร์ เพราะคุณสามารถซื้อหุ้นที่ราคา 200 แล้วขายในตลาดที่ราคา 210 ได้ทันที ในทางกลับกัน หากราคาหุ้นลดลงเป็น 190 ดอลลาร์ และคุณถือ Put Option ที่ราคาใช้สิทธิ 200 ดอลลาร์ ออปชันของคุณก็จะ “In the Money” มูลค่า 10 ดอลลาร์เช่นกัน


เนื่องจากออปชัน ITM มีมูลค่าในตัวอยู่แล้ว จึงมักมีราคาสูงกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงต่ำกว่า เมื่อเทียบกับออปชัน ATM หรือ Out of the Money (OTM) เพราะการเคลื่อนไหวของมันสัมพันธ์กับราคาสินทรัพย์อ้างอิงมากกว่า เทรดเดอร์มืออาชีพจึงนิยมใช้ออปชันประเภทนี้เมื่อคาดการณ์ทิศทางแน่นอน และต้องการลดผลกระทบจากการเสื่อมค่าตามเวลา (Time Decay)


เทรดเดอร์มืออาชีพหลายคนใช้ ITM Call Options เพื่อเข้าถึงการลงทุนในสินทรัพย์ด้วยเลเวอเรจ (Leverage) ที่สูงกว่า โดยใช้เงินทุนต่ำกว่าการซื้อหุ้นจริงโดยตรง โดยทั่วไป ITM Calls จะมีค่า Delta ใกล้ 1 (หรือ -1 สำหรับ Puts) หมายความว่าราคาของออปชันจะเคลื่อนไหวเกือบตามราคาของสินทรัพย์อ้างอิงแบบหนึ่งต่อหนึ่ง


Out of the Money คืออะไร?


ออปชันแบบ Out of the Money (OTM) หมายถึงออปชันที่ไม่มีมูลค่าในตัว (Intrinsic Value) เลย เป็นเพียง “การเดิมพัน” ว่าราคาตลาดจะเคลื่อนไหวมากพอที่จะทำให้มีกำไรได้ก่อนหมดอายุ สำหรับ Call Option หมายถึงราคาตลาดอยู่ต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ ส่วน Put Option หมายถึงราคาตลาดอยู่สูงกว่าราคาใช้สิทธิ


ตัวอย่างเช่น หากหุ้น Apple มีราคาซื้อขายอยู่ที่ 200 ดอลลาร์ ออปชัน Call ที่ราคาใช้สิทธิ 220 ดอลลาร์ หรือ Put ที่ราคาใช้สิทธิ 180 ดอลลาร์ จะถือว่าเป็น Out of the Money ทั้งคู่ เพราะยังไม่มีมูลค่าในตัว ออปชันเหล่านี้จึงมีราคาถูกกว่า เนื่องจากมีเพียงมูลค่าเวลา (Time Value) และต้องพึ่งพาการเคลื่อนไหวของราคาตลาดในอนาคตเพื่อสร้างกำไร


ออปชัน OTM มักดึงดูดนักเก็งกำไร เพราะมีต้นทุนต่ำ และมีโอกาสทำกำไรเป็นเปอร์เซ็นต์สูง หากตลาดเคลื่อนไหวตามคาด อย่างไรก็ตาม ออปชันเหล่านี้ก็มีความเสี่ยงสูง เพราะส่วนใหญ่จะหมดอายุโดยไร้มูลค่า หากราคาตลาดไม่เปลี่ยนแปลงตามที่คาดไว้ จึงมักถูกใช้ในการเทรดระยะสั้นก่อนประกาศข่าวสำคัญหรือข้อมูลเศรษฐกิจ เมื่อนักเทรดคาดว่าจะเกิดความผันผวนแต่ไม่ต้องการเสี่ยงขาดทุนมาก


ความแตกต่างด้านมูลค่าและความเสี่ยง


ความแตกต่างหลักระหว่างออปชันทั้งสามประเภทอยู่ที่มูลค่าในตัว (Intrinsic Value) และมูลค่านอก (Extrinsic Value) ได้แก่:


  • ITM (In the Money): มีทั้งมูลค่าในตัวและมูลค่านอก ราคาสูงกว่าแต่มีโอกาสสำเร็จมากกว่า

  • ATM (At the Money): มีมูลค่าในตัวน้อยหรือไม่มีเลย แต่มูลค่านอกสูง เป็นจุดสมดุลระหว่างต้นทุนและศักยภาพกำไร

  • OTM (Out of the Money): ไม่มีมูลค่าในตัวเลย มีเพียงมูลค่าเวลา ราคาถูกแต่มีความเสี่ยงสูงกว่า


ยกตัวอย่างเช่น หากดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 5,000 จุด Call ที่ราคาใช้สิทธิ 5,000 จุด คือ At the Money Call ที่ราคาใช้สิทธิ 4,900 จุด คือ In the Money Call ที่ราคาใช้สิทธิ 5,100 จุด คือ Out of the Money เทรดเดอร์ต้องเลือกตามเป้าหมายของตนเอง ว่าต้องการโอกาสทำกำไรสูงแต่เสี่ยงมาก (OTM) หรือ โอกาสสำเร็จสูงแต่กำไรจำกัด (ITM)


ข้อมูลจริงจาก Chicago Board Options Exchange (CBOE) ชี้ให้เห็นว่า ปริมาณการซื้อขายออปชันส่วนใหญ่เกิดขึ้นในบริเวณ At the Money ซึ่งสะท้อนว่านักเทรดมองว่าบริเวณนี้คือจุดที่ “สมดุลที่สุด” ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน

At the Money


กลยุทธ์การใช้ออปชันแต่ละประเภท


  1. At the Money Options: มักใช้ในกลยุทธ์เก็งความผันผวน เช่น Straddle ที่นักเทรดซื้อทั้ง Call และ Put ในราคาเดียวกัน เพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาไม่ว่าจะขึ้นหรือลง นอกจากนี้ ATM ยังตอบสนองไวต่อการเปลี่ยนแปลงของ Implied Volatility

  2. In the Money Options: นิยมใช้สำหรับการเทรดตามทิศทางตลาด ตัวอย่างเช่น ในช่วงตลาดขาขึ้นของ Nasdaq 100 ปี 2024 นักเทรดจำนวนมากซื้อ ITM Calls บนหุ้นเทคโนโลยีหลัก เพื่อเก็งกำไรในทิศทางขาขึ้นโดยลดความเสี่ยงจากการเสื่อมค่าของเวลา (Time Decay) นักลงทุนสถาบันยังใช้ ITM Puts เพื่อป้องกันพอร์ตจากความเสี่ยงขาลง

  3. Out of the Money Options: เป็นที่นิยมในหมู่นักเก็งกำไรระยะสั้น โดยเฉพาะก่อนเหตุการณ์สำคัญ เช่น การประกาศผลประกอบการ ตัวอย่างเช่น ก่อนการประกาศผลของ Nvidia ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 มีการซื้อ OTM Calls ที่ราคาใช้สิทธิสูงกว่าราคาตลาด 5–10% ปริมาณมาก เพื่อเก็งกำไรจากความเป็นไปได้ที่ราคาหุ้นจะพุ่งขึ้น


การเลือกใช้ออปชันประเภทใดขึ้นอยู่กับเป้าหมายการเทรดของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างกำไรแบบมั่นคง (ITM) การเล่นกับความผันผวน (ATM) หรือการลุ้นผลตอบแทนสูงพร้อมความเสี่ยงสูง (OTM) การเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้คือกุญแจสำคัญสู่กลยุทธ์ออปชันที่มีประสิทธิภาพและควบคุมความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ At the Money, In the Money และ Out of the Money


Q1. ออปชันประเภทใดเหมาะกับผู้เริ่มต้นมากที่สุด?


ผู้เริ่มต้นมักเริ่มจากออปชันแบบ At the Money (ATM) เพราะให้สมดุลระหว่างความเสี่ยงและโอกาสทำกำไร เข้าใจง่ายกว่ากลยุทธ์ออปชันหลายขาขั้นสูง (Multi-leg Strategies) และช่วยให้เรียนรู้การเคลื่อนไหวของราคาได้ชัดเจน


Q2. ทำไมออปชันแบบ At the Money ถึงมีราคาสูงกว่า?


เพราะออปชันประเภทนี้มีมูลค่าเวลา (Time Value) สูงที่สุด เนื่องจากมีโอกาสมากที่สุดที่จะ “เข้า In the Money” หรือ “หลุด Out of the Money” ก่อนวันหมดอายุ ความอ่อนไหวต่อความผันผวนของตลาด (Volatility) จึงสูง ส่งผลให้ค่าพรีเมียม (Premium) ของมันแพงกว่า


Q3. ออปชันสามารถเปลี่ยนจาก Out of the Money เป็น In the Money ได้ไหม?


ได้แน่นอน ออปชันสามารถเปลี่ยนสถานะได้ตามการเคลื่อนไหวของราคาตลาด เช่น Call Option ที่วันนี้อยู่ในสถานะ Out of the Money อาจกลายเป็น In the Money ได้ หากราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวขึ้นเหนือราคาใช้สิทธิก่อนหมดอายุ


ภาพรวมสำคัญ


คำว่า In the Money, At the Money, และ Out of the Money ไม่ได้เป็นเพียงคำจำกัดความเท่านั้น แต่เป็นแนวทางที่อธิบายว่าออปชันแต่ละประเภทมีพฤติกรรมอย่างไร และเทรดเดอร์ใช้มันอย่างไรในการวางกลยุทธ์ ออปชันแบบ In the Money เคลื่อนไหวไปพร้อมกับราคาสินทรัพย์อย่างมั่นคง ขณะที่ออปชันแบบ At the Money ตอบสนองไวต่อความผันผวนของตลาด และออปชันแบบ Out of the Money สะท้อนการเก็งกำไรล้วน ๆ การเข้าใจและเลือกใช้ออปชันเหล่านี้อย่างเหมาะสม ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถจัดสมดุลระหว่างต้นทุน ความน่าจะเป็น และผลตอบแทน ในสภาวะตลาดที่แตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ


คำศัพท์น่ารู้: สรุปสั้น ๆ ที่ควรจำ


  • ราคาใช้สิทธิ (Strike Price): ราคาที่ออปชันให้สิทธิ์ซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง

  • มูลค่าภายใน (Intrinsic Value): ส่วนต่างของราคาที่ทำให้ออปชันอยู่ในสถานะ In the Money

  • มูลค่าภายนอก (Extrinsic Value): ส่วนของราคาที่มาจากเวลาและความผันผวนของตลาด

  • การเสื่อมค่าตามเวลา (Time Decay): การลดลงของมูลค่าออปชันเมื่อใกล้วันหมดอายุ

  • Delta: ค่าที่วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาออปชันเมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงเปลี่ยนไป


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ