เปิดข้อมูลทางสถิติราคาน้ำมันดิบ WTI ย้อนหลัง และวิเคราะห์แนวโน้มปี 2025 พร้อมรวม 5 สิ่งที่เทรดเดอร์ต้องรู้ก่อนเริ่มเทรดน้ำมัน CFD
ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังเผชิญกับความไม่แน่นอนและความผันผวนต่อเนื่อง “น้ำมันดิบ WTI” ยังคงเป็นหนึ่งในดัชนีราคาสินทรัพย์ที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2025 ราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งแตะระดับ 69.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 เดือน สาเหตุหลักมาจากการที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่มแรงกดดันทางการเมืองต่อรัสเซียให้ยุติความขัดแย้งในยูเครน ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ตลาดพลังงานโลกเกิดแรงกระเพื่อม ขณะที่นักลงทุนเริ่มปรับพอร์ตเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยและสินทรัพย์ทางเลือกอย่างน้ำมันดิบ
ในบทความนี้ EBC Financial Group จะพาคุณเจาะลึกตั้งแต่พื้นฐานว่า น้ำมันดิบ WTI คืออะไร มีความแตกต่างจาก น้ำมันดิบ Brent อย่างไร ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองใดที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน WTI รวมถึงการอัปเดตสถิติราคาล่าสุด และ แนวโน้มการลงทุนในปี 2025 สำหรับเทรดเดอร์ที่กำลังมองหาโอกาสในตลาด CFD น้ำมัน
ก่อนที่เราจะไปดูข้อมูลเชิงสถิติ จำเป็นต้องเข้าใจพื้นฐานของ น้ำมันดิบ WTI (West Texas Intermediate) เสียก่อน น้ำมันดิบ WTI ถือเป็นน้ำมันคุณภาพสูง มีลักษณะเป็น Light Crude (หนาแน่นต่ำ) และ Sweet Crude (มีกำมะถันต่ำ) ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการกลั่นเป็นน้ำมันเบนซินและดีเซล โดยน้ำมันชนิดนี้ส่วนใหญ่ผลิตในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะแถบรัฐเท็กซัสและโอคลาโฮมา และถูกใช้เป็น มาตรฐานอ้างอิงราคาน้ำมัน ในตลาดล่วงหน้า NYMEX (New York Mercantile Exchange)
ราคาน้ำมันดิบ WTI มักสะท้อน ภาวะเศรษฐกิจและพลังงานของสหรัฐฯ อย่างมีนัยยะสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นระดับสต็อกน้ำมันดิบในประเทศ อัตราการผลิตของภาคเอกชน ไปจนถึงนโยบายจากรัฐบาลกลางหรือธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ด้วยเหตุนี้ ราคาน้ำมัน WTI จึงมีแนวโน้ม ผันผวนสูงในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจหรือความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
ในอีกด้านหนึ่ง น้ำมันดิบเบรนท์ (Brent Crude) เป็นอีกหนึ่งเกรดน้ำมันมาตรฐานระดับโลก โดยเฉพาะในตลาดยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา มีคุณลักษณะเป็น Sweet Light Crude เช่นเดียวกัน และนิยมนำไปกลั่นเป็นผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงต่าง ๆ
แต่สิ่งที่ทำให้ Brent แตกต่างคือ ราคาของน้ำมันเบรนท์ไม่ได้สะท้อนแค่ต้นทุนของวัตถุดิบ แต่ยังเป็น “ตัวชี้วัดเศรษฐกิจโลก” ที่สำคัญ โดยสัมพันธ์กับอุปสงค์-อุปทานโลก ความเคลื่อนไหวของกลุ่ม OPEC สถานการณ์ตะวันออกกลาง และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก
ราคาน้ำมันดิบ WTI (West Texas Intermediate) เป็นหนึ่งในดัชนีราคาพลังงานที่เคลื่อนไหวตามปัจจัยหลายด้าน ทั้งในระดับภายในประเทศสหรัฐอเมริกาและระดับโลก โดยปัจจัยต่อไปนี้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของ ราคาน้ำมันดิบ WTI ในตลาดโลก
1. ปริมาณการผลิตน้ำมันของสหรัฐ
WTI เป็นน้ำมันดิบที่ผลิตภายในประเทศสหรัฐอเมริกา ดังนั้นปริมาณการผลิตจากแหล่งต่าง ๆ เช่น บ่อน้ำมันใน Texas, North Dakota หรืออ่าวเม็กซิโก มีผลโดยตรงต่อราคาน้ำมัน หากมีการเพิ่มกำลังการผลิต ราคาจะมีแนวโน้มลดลง เพราะอุปทานล้นตลาด ในทางกลับกัน หากมีการปิดแท่นขุดเจาะหรือผลิตน้อยลง ราคาจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
2. นโยบายของกลุ่มโอเปก (OPEC) และพันธมิตร (OPEC+)
แม้ WTI จะอิงกับตลาดสหรัฐ แต่การตัดสินใจเรื่องโควตาการผลิตของกลุ่มโอเปกก็มีผลกระทบต่อทิศทางราคาโดยรวมของน้ำมันทั่วโลก เพราะมีผลต่อสมดุลอุปสงค์และอุปทาน หาก OPEC ลดกำลังผลิต ราคาน้ำมันรวมถึง WTI จะปรับสูงขึ้นตาม
3. ความต้องการใช้น้ำมัน (Demand) ทั่วโลก
ความต้องการใช้น้ำมันในภาคอุตสาหกรรม การคมนาคม และการผลิตพลังงานทั่วโลก มีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคา WTI โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจของประเทศผู้บริโภครายใหญ่ เช่น จีน อินเดีย หรือสหรัฐ เติบโต ความต้องการพลังงานจะเพิ่มขึ้น ดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น ในทางตรงข้าม ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะทำให้ความต้องการน้ำมันลดลง กดดันราคาให้ลดต่ำ
4. ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
สถานการณ์ความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลาง สงครามในยูเครน หรือความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดกังวลเกี่ยวกับการหยุดชะงักของอุปทานน้ำมัน ส่งผลให้ราคาพุ่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แม้เหตุการณ์จะไม่ได้เกิดในสหรัฐก็ตาม
5. ปริมาณน้ำมันคงคลังของสหรัฐ (Crude Oil Inventories)
รายงานสต็อกน้ำมันจาก EIA (U.S. Energy Information Administration) ที่ออกทุกสัปดาห์ มีผลต่อราคา WTI โดยตรง หากตัวเลขน้ำมันในคลังมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ ราคาจะลดลง เพราะหมายถึงมีอุปทานเหลือใช้ แต่ถ้าน้อยกว่าคาด ราคามักปรับขึ้น
6. นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด
กฎหมายหรือมาตรการของรัฐบาลสหรัฐที่สนับสนุนพลังงานสะอาด เช่น ข้อจำกัดการปล่อยคาร์บอน หรือการลงทุนในพลังงานทดแทน อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างความต้องการใช้น้ำมันดิบในระยะยาว และอาจกดดันราคาน้ำมันลงได้ในอนาคต
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันดิบ WTI ยังสามารถส่งอิทธิพลต่อ ตลาดการเงินและสินทรัพย์เสี่ยง ได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น หากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น กลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานมาก เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ การบิน และขนส่ง อาจเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลให้มูลค่าหุ้นในกลุ่มดังกล่าวปรับตัวลง นักลงทุนจึงอาจโยกย้ายเงินลงทุนไปยังกลุ่มที่ได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันแทน
ในตารางถัดไป เราจะพาคุณดู ข้อมูลราคาน้ำมันดิบ WTI ย้อนหลังช่วงปี 2024–2025 พร้อมวิเคราะห์แนวโน้มสำคัญที่สถาบันการเงินและนักวิเคราะห์ตลาดคาดการณ์ไว้ เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับนักลงทุนที่สนใจ ซื้อขายน้ำมันผ่าน CFD หรือเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ
สำหรับผู้ที่สนใจ เทรดน้ำมัน CFD การเข้าใจโครงสร้างของตลาด การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบ รวมถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะแม้ตลาดนี้จะสร้างโอกาสทำกำไรได้ดี แต่ก็มีความผันผวนสูงและต้องอาศัยกลยุทธ์ที่รัดกุม นี่คือ 5 ปัจจัยสำคัญที่เทรดเดอร์ควรเข้าใจให้ชัด ก่อนเริ่มเทรดน้ำมัน CFD
1. เข้าใจลักษณะของสัญญา CFD น้ำมัน
CFD (Contract for Difference) คือเครื่องมือทางการเงินที่อนุญาตให้เทรดเดอร์เก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันโดยไม่ต้องถือครองน้ำมันจริง ซึ่งหมายความว่าเทรดเดอร์สามารถเปิดสถานะ "ซื้อ" หากคิดว่าราคาจะขึ้น หรือ "ขาย" หากคิดว่าราคาจะลง
สัญญา CFD น้ำมันส่วนใหญ่จะอิงกับราคาน้ำมันดิบชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น WTI หรือ Brent และมีวันหมดอายุ (Expiry Date) ตามรอบของตลาดฟิวเจอร์ส
2. ติดตามราคาน้ำมันดิบอ้างอิงอย่างใกล้ชิด
ราคาน้ำมันดิบที่เป็นมาตรฐาน เช่น WTI และ Brent จะเป็นตัวสะท้อนราคาหลักในตลาด CFD โดยมีปัจจัยภายนอกหลายอย่างกระทบ เช่น นโยบายโอเปก สภาพเศรษฐกิจโลก หรือวิกฤตภูมิรัฐศาสตร์ เทรดเดอร์จึงต้องติดตามข่าวสารและกราฟราคาอย่างสม่ำเสมอ
3. เรียนรู้เรื่อง Leverage และความเสี่ยง
การเทรด CFD น้ำมันมักมาพร้อมกับ Leverage สูง เช่น 1:50 หรือ 1:100 ซึ่งเพิ่มพลังในการทำกำไร แต่ก็เพิ่มโอกาสขาดทุนอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เทรดเดอร์ต้องเข้าใจว่า Leverage เป็น “ดาบสองคม” และควรคำนวณขนาดล็อตให้เหมาะสมกับขนาดบัญชีและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
4. รู้จักค่า Swap และต้นทุนการถือครอง
เมื่อเปิดออร์เดอร์ข้ามคืน เทรดเดอร์จะถูกคิดค่า Swap ซึ่งอาจเป็นลบหรือบวก ขึ้นอยู่กับทิศทางที่ถือและอัตราดอกเบี้ยของสินค้านั้น ๆ การไม่คำนวณค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
5. เข้าใจช่วงเวลาซื้อขายและความผันผวน
ตลาดน้ำมัน CFD มีช่วงเวลาผันผวนสูง เช่น ช่วงข่าว EIA (ประกาศสต็อกน้ำมันสหรัฐ) หรือช่วงที่ตลาดยุโรป-อเมริกาเปิด เทรดเดอร์ควรรู้จักเวลาเหล่านี้ เพื่อจัดการ Stop Loss และ Take Profit ให้รัดกุม
ตลาดเปิดทำการแทบตลอดวัน (จันทร์-ศุกร์) แต่ราคาจะเปลี่ยนแรงที่สุดในช่วง 19:30–22:30 น. ตามเวลาไทย
โดยสรุปแล้ว น้ำมันดิบ WTI ถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์สำคัญที่มีบทบาทอย่างสูงในตลาดพลังงานโลก และส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจ การเมือง และการลงทุนทั่วโลก การเทรดน้ำมัน CFD โดยเฉพาะน้ำมันดิบ WTI จึงเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
อย่างไรก็ตาม การเทรดน้ำมัน CFD ให้สำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์กราฟราคาอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความเข้าใจในหลายปัจจัยสำคัญ ได้แก่
ลักษณะของ สัญญา CFD น้ำมัน ที่เปิดโอกาสให้เก็งกำไรจากราคาน้ำมันโดยไม่ต้องถือครองสินค้าจริง
การติดตาม ราคาน้ำมันดิบ WTI และราคาน้ำมันอ้างอิงอื่น ๆ เช่น Brent อย่างใกล้ชิด
การบริหารความเสี่ยงจาก Leverage ที่ใช้เพิ่มกำลังซื้อ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงถ้าไม่วางแผนอย่างรัดกุม
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจโลก, อุปสงค์-อุปทานน้ำมัน, รายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐ (EIA)
และสถานการณ์ทาง ภูมิรัฐศาสตร์ ที่ส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาดน้ำมันและราคาน้ำมันดิบ
เทรดเดอร์ที่มีความรู้ครบถ้วนทั้งในเชิงเทคนิคและเชิงพื้นฐาน จะสามารถวางกลยุทธ์เทรดน้ำมัน CFD ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงจากความผันผวน และเพิ่มโอกาสทำกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบ WTI ในตลาดโลก ดังนั้น การติดตามข่าวสารตลาดน้ำมันอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการปรับแผนเทรดให้สอดคล้องกับข้อมูลใหม่ ๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่ต้องการเทรดน้ำมัน CFD อย่างมืออาชีพและยั่งยืนในระยะยาว
การเทรดน้ำมัน CFD ไม่ได้หมายความแค่การคาดเดาราคาขึ้นลงจากกราฟเท่านั้น แต่ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างรอบด้าน ทั้งในเรื่องของลักษณะสินค้า สัญญาซื้อขายแบบ CFD (Contract for Difference) รวมถึงปัจจัยภายนอกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ราคาน้ำมันดิบหลักอย่าง WTI และ Brent ถือเป็นดัชนีอ้างอิงสำคัญในการเทรดน้ำมัน โดยทั้งสองชนิดมีความแตกต่างทั้งแหล่งผลิต ภูมิศาสตร์ ความหวานของน้ำมัน (sweetness) และระดับความนิยมในตลาดฟิวเจอร์ส ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อราคาน้ำมันดิบในตลาด CFD และโอกาสทำกำไรของเทรดเดอร์
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใด ๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใด ๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
เรียนรู้วิธีการระบุ ตีความ และซื้อขายรูปแบบ Tasuki Gap ซึ่งเป็นสัญญาณแท่งเทียนอันทรงพลังสำหรับการต่อเนื่องของแนวโน้มในตลาดการเงิน
2025-07-31รวมวิธีดูกราฟแท่งเทียนในตลาด Forex พร้อมเปิดข้อมูลของแต่ละประเภทว่ามีอะไรบ้างและวิเคราะห์แนวโน้มต่อไปของทิศทางราคาโดยรวม
2025-07-31ค้นพบคู่สกุลเงินหลักที่ทำกำไรได้มากที่สุดในปี 2025 จากการจัดอันดับของเรา พร้อมข้อมูลว่าแต่ละคู่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับเทรดเดอร์ในปีนี้
2025-07-31