เลเวอเรจ คือเครื่องมือทางการเงินที่เพิ่มโอกาสทำกำไร แต่มีความเสี่ยงสูง บทความนี้แจกเทคนิคใช้เลเวอเรจเทรด Forex อย่างปลอดภัย พร้อมวิธีบริหารความเสี่ยงไม่ให้พอร์ตพัง
เลเวอเรจ คือ เครื่องมือทางการเงินสำคัญที่ช่วยเพิ่มขนาดการลงทุนในตลาดเทรด Forex และสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ ให้ใหญ่กว่าทุนจริง ทำให้กำไรที่ได้สามารถขยายตัวเป็นผลตอบแทนก้อนโตในเวลาสั้น ๆ แต่ในขณะเดียวกัน เลเวอเรจก็เพิ่มความเสี่ยงอย่างมาก หากใช้ไม่ถูกวิธี เพราะเปรียบเสมือนตัวคูณที่ขยายทั้งกำไรและขาดทุนตามกลยุทธ์การเทรดของคุณ การเทรดด้วยเลเวอเรจโดยไม่มีการบริหารความเสี่ยงที่ดี อาจนำไปสู่การขาดทุนหนักหรือแม้แต่ มาร์จิ้นคอล ได้
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักให้ลึกขึ้นว่า เลเวอเรจ คืออะไร, ทำไมเทรดเดอร์ถึงนิยมใช้กันในตลาด Forex, หุ้น CFD และตราสารอนุพันธ์ พร้อมอธิบาย ข้อดีข้อเสียของเลเวอเรจ, ความสัมพันธ์กับมาร์จิ้น และเผย เทคนิคการจัดการพอร์ต เพื่อใช้เลเวอเรจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ตกเป็นเหยื่อของความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เลเวอเรจผิดจังหวะ
เลเวอเรจ (Leverage) คือเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถควบคุมขนาดการลงทุนได้มากกว่าทุนที่มีอยู่จริง โดยใช้เงินกู้จากโบรกเกอร์ผู้ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ เช่น Forex, หุ้น CFD, ฟิวเจอร์ส หรือคริปโตเคอร์เรนซี
แนวคิดของเลเวอเรจคือ “ทำให้เงินทำงานหนักขึ้น” ผ่านการใช้เงินของผู้อื่นในการขยายอำนาจการซื้อขาย ถ้าการคาดการณ์ถูกต้อง กำไรจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าเมื่อเทียบกับลงทุนด้วยเงินสดทั้งหมด แต่หากผิดพลาด ขาดทุนก็จะขยายตัวตามไปด้วย
ดังนั้น เลเวอเรจจึงเป็นดาบสองคมที่ช่วยเร่งผลตอบแทนให้เร็วขึ้น แต่หากไม่มีการบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม อาจทำให้พอร์ตลงทุนพังได้โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูง เช่น ตลาดค่าเงินหรือคริปโต ที่ราคาสามารถเปลี่ยนแปลงเร็วมากภายในไม่กี่นาที
การเข้าใจข้อดีและข้อเสียของ เลเวอเรจ (Leverage) เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการใช้เครื่องมือนี้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงในการเทรด Forex หรือสินทรัพย์อื่น ๆ
1. เพิ่มศักยภาพในการทำกำไรสูงขึ้น
เลเวอเรจช่วยให้คุณเปิดสถานะการลงทุนที่ใหญ่กว่าทุนจริงโดยไม่ต้องใช้เงินทุนเต็มจำนวน หากวิเคราะห์ตลาดและวางกลยุทธ์เทรดถูกต้อง ผลตอบแทนจะสูงกว่าการลงทุนด้วยเงินสดหลายเท่า
2. ใช้ทุนเริ่มต้นน้อย เหมาะกับมือใหม่และทุนจำกัด
เลเวอเรจเปิดโอกาสให้เทรดเดอร์ที่มีเงินทุนไม่มาก สามารถเข้าร่วมตลาด Forex สินค้าโภคภัณฑ์ หรือฟิวเจอร์สได้อย่างง่ายดาย
3. เพิ่มโอกาสกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนหลายสินทรัพย์
การใช้เลเวอเรจช่วยให้คุณกระจายพอร์ตไปในหลายสินทรัพย์พร้อมกันได้ โดยไม่ต้องผูกเงินทุนไว้กับสินทรัพย์เดียว ลดความเสี่ยงรวมของพอร์ตการลงทุน
1.เพิ่มความเสี่ยงอย่างมากในตลาด Forex และสินทรัพย์ผันผวนสูง
เหมือนกับที่กำไรจะถูกขยาย เลเวอเรจก็จะขยายขนาดขาดทุนตามไปด้วย หากราคาตลาดเคลื่อนไหวผิดทางแม้เล็กน้อย อาจทำให้พอร์ตถูกบังคับปิด (Margin Call หรือ Stop Out) อย่างรวดเร็ว
2. ผลกระทบจากอารมณ์และจิตวิทยาการลงทุน
ความสามารถในการเปิดสถานะขนาดใหญ่ด้วยเลเวอเรจ อาจทำให้เทรดเดอร์บางคนเสี่ยงเกินตัวโดยไม่รู้ตัว เช่น การเพิ่มขนาดการลงทุนตามอารมณ์หรือความโลภ
3. ต้นทุนแฝงจากค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ย
การถือสถานะข้ามคืนในตลาดที่มีความผันผวนสูง เช่น Forex หรือคริปโต อาจทำให้เกิดค่าใช้จ่ายแฝงอย่างค่าสวอป (Swap) หรือดอกเบี้ย ซึ่งหากไม่บริหารจัดการอาจกินกำไรหรือเพิ่มขาดทุนโดยไม่รู้ตัว
สรุปแล้ว การใช้เลเวอเรจในการเทรด Forex ถือเป็นเทคนิคที่ทรงพลัง แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวังและเข้าใจความเสี่ยงที่มากับมัน พร้อมกับการวางแผนบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัย เพื่อป้องกันไม่ให้พอร์ตถูกทำลายจากความผันผวนของตลาด
เลเวอเรจและมาร์จิ้นเป็นสองคำที่มักจะพูดถึงคู่กันในโลกการเทรด เพราะทั้งสองทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและไม่สามารถแยกจากกันได้ หากคุณอยากใช้เลเวอเรจอย่างมีประสิทธิภาพ ก็ต้องเข้าใจมาร์จิ้นควบคู่กันไปด้วย เพื่อวางแผนการเทรดและบริหารความเสี่ยงได้อย่างถูกต้อง โดยสรุปง่าย ๆ
เลเวอเรจ คือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณเปิดออร์เดอร์ขนาดใหญ่กว่าทุนที่มีอยู่จริง
มาร์จิ้น คือเงินบางส่วนที่คุณต้องวางเป็นหลักประกันกับโบรกเกอร์ เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการเปิดสถานะนั้น ๆ
ยิ่งใช้เลเวอเรจสูง เงินมาร์จิ้นที่ต้องวางก็จะน้อยลงตามไปด้วย
สมมุติคุณใช้เลเวอเรจ 1:100 และเปิดดีลมูลค่า 10,000 ดอลลาร์ คุณจะต้องวางมาร์จิ้นแค่ 100 ดอลลาร์เท่านั้น (10,000 ÷ 100 = 100 ดอลลาร์)
หมายความว่า ยิ่งเลเวอเรจสูง คุณก็ใช้เงินวางประกันน้อยลง แต่ความเสี่ยงกลับสูงขึ้น เพราะพอร์ตจะรับแรงสั่นสะเทือนได้ลดลงมาก หากราคาขยับผิดทางแค่ไม่กี่จุด พอร์ตของคุณอาจถูกบังคับปิดสถานะ (Stop Out) ได้ทันที
หากใช้ เลเวอเรจต่ำ เช่น 1:10 หรือ 1:20 คุณจะต้องวางมาร์จิ้นมากขึ้น ทำให้พอร์ตมีพื้นที่รับแรงกระแทกจากความผันผวนของตลาดได้มากกว่า
ข้อดีของการใช้เลเวอเรจต่ำคือ โอกาสที่ออร์เดอร์จะถูกบังคับปิดก่อนเวลาจะน้อยลง เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ต้องการเล่นระยะยาว หรือเน้นการสะสมกำไรอย่างมั่นคง ไม่รีบร้อน
การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเลเวอเรจและมาร์จิ้นอย่างละเอียด จะช่วยให้คุณบริหารพอร์ตได้ดีขึ้น ลดโอกาสโดนล้างพอร์ต และเทรดอย่างมีประสิทธิภาพในตลาด Forex หรือสินทรัพย์อื่น ๆ ได้อย่างมั่นใจ
ในการเทรดด้วยเลเวอเรจ สิ่งสำคัญที่เทรดเดอร์ต้องรู้คือ ประเภทของมาร์จิ้น (Margin Types) ซึ่งแบ่งออกเป็นหลัก ๆ ดังนี้
คือเงินที่คุณต้องวางเป็นหลักประกันเพื่อเปิดสถานะการซื้อขายครั้งแรก เช่น หากเปิดออร์เดอร์ในตลาด Forex หรือ CFD โบรกเกอร์จะกำหนดจำนวนเงินเริ่มต้นนี้เพื่อรับประกันการเทรด
เป็นระดับเงินขั้นต่ำที่บัญชีของคุณต้องมีเพื่อรักษาสถานะที่เปิดไว้ หากยอดเงินในบัญชีลดลงต่ำกว่าระดับนี้ โบรกเกอร์อาจปิดสถานะบางส่วนหรือทั้งหมด เพื่อป้องกันการขาดทุนเกินกว่าเงินทุนที่มี
คือเงินที่ยังเหลือในบัญชีของคุณ หลังจากหักมาร์จิ้นที่ถูกใช้งานแล้ว เป็นเงินที่สามารถใช้เปิดออร์เดอร์ใหม่หรือรองรับความผันผวนของราคาได้
วิธีคำนวณมาร์จิ้น:
Margin Level (%) = (Equity ÷ Used Margin) × 100
โดยโบรกเกอร์จะตั้งระดับเตือนหรือบังคับปิดออร์เดอร์ เช่น หาก Margin Level ต่ำกว่า 50% หรือ 100% เทรดเดอร์จะได้รับการแจ้งเตือน หรือสถานะอาจถูกปิดอัตโนมัติเพื่อป้องกันการล้างพอร์ต
การเข้าใจประเภทของมาร์จิ้นอย่างละเอียดจะช่วยให้คุณบริหารความเสี่ยงและควบคุมพอร์ตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อใช้เลเวอเรจในการเทรด Forex หรือสินทรัพย์อื่น ๆ
1. ใช้เลเวอเรจต่ำเมื่อยังไม่มีประสบการณ์
การเริ่มต้นด้วยเลเวอเรจต่ำ เช่น 1:5 หรือ 1:10 คือแนวทางที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับนักเทรดมือใหม่ แม้จะทำให้ผลกำไรดูน้อยในช่วงแรก แต่ก็ช่วยให้คุณมีโอกาสเรียนรู้พฤติกรรมของตลาด ฝึกวางกลยุทธ์และควบคุมอารมณ์โดยไม่ต้องเสี่ยงเงินก้อนใหญ่ การใช้เลเวอเรจต่ำยังช่วยให้พอร์ตมีความยืดหยุ่น สามารถทนต่อความผันผวนของราคาได้ดีกว่า ลดโอกาสการโดน Margin Call อย่างมีนัยสำคัญ
2. วาง Stop Loss และคำนวณล่วงหน้าเสมอ
การใช้เลเวอเรจทำให้คุณควบคุมสถานะที่ใหญ่ขึ้น ดังนั้นการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยอาจมีผลต่อพอร์ตอย่างมาก การวาง Stop Loss จึงไม่ใช่แค่ "ควรทำ" แต่คือ "ต้องทำ" ในทุกสถานะ ไม่ว่าจะเป็นการเทรดระยะสั้นหรือยาว เพราะมันช่วยจำกัดความเสียหายให้อยู่ในกรอบที่คุณรับไหว
เทรดเดอร์ที่ดีจะคำนวณระดับ Stop Loss ก่อนเปิดออร์เดอร์ โดยอิงจากการวิเคราะห์เทคนิคหรือความผันผวนของราคา และเลือกขนาดสถานะ (Lot Size) ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เช่น เสี่ยงไม่เกิน 1-2% ของพอร์ตต่อการเทรดหนึ่งครั้ง วิธีนี้จะทำให้แม้คุณใช้เลเวอเรจสูง แต่ก็อยู่ภายใต้การควบคุมความเสี่ยงที่วางแผนไว้ล่วงหน้า
3. ใช้เลเวอเรจตามกลยุทธ์ ไม่ใช่ตามอารมณ์
การใช้เลเวอเรจอย่างชาญฉลาด เริ่มต้นที่การมีแผน ไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ หลายคนเลือกเลเวอเรจสูง ๆ เพราะอยาก “เร่งรวย” หรือรู้สึกมั่นใจเกินเหตุหลังจากได้กำไรรอบก่อนหน้า แต่การตัดสินใจแบบนั้นมักพาพอร์ตเข้าใกล้ความเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว จริง ๆ แล้ว เลเวอเรจควรเป็นเครื่องมือที่สอดคล้องกับกลยุทธ์การเทรดของคุณ เช่น ถ้าคุณเป็นสายเทรดระยะสั้นที่เปิด-ปิดออร์เดอร์ไว ควบคุมความเสี่ยงเป็น การใช้เลเวอเรจสูงระดับหนึ่งอาจเหมาะสม เพราะคุณตั้งจุดตัดขาดทุนชัดเจนและไม่ปล่อยให้พอร์ตเสี่ยงเกินจำเป็น
ในทางตรงกันข้าม หากคุณเป็นสายถือยาวหรือชอบปล่อยออร์เดอร์ให้ลากกำไร การใช้เลเวอเรจสูงอาจไม่เหมาะ เพราะยิ่งเปิดดีลใหญ่ พอร์ตคุณยิ่งมีโอกาสถูกแรงสวิงของราคาตลาดกระแทกได้ง่าย การใช้เลเวอเรจในระดับต่ำถึงกลางจะช่วยให้พอร์ตมีพื้นที่หายใจและอยู่รอดได้แม้ตลาดจะผันผวนมาก การเลือกเลเวอเรจจึงไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข แต่คือการตั้งใจวางแผนล่วงหน้าตามธรรมชาติของกลยุทธ์และความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละคน
4. อย่าเปิดสถานะใหญ่จนเกินพอร์ตรับไหว
แม้จะมีเลเวอเรจสูงถึง 1:500 หรือ 1:1000 ก็ไม่ได้แปลว่าควรใช้เต็มจำนวน เพราะการเปิดออร์เดอร์ขนาดใหญ่เกินพอร์ตจะลดพื้นที่ในการรองรับความผันผวน และเพิ่มโอกาสการถูกบังคับปิดสถานะอย่างรวดเร็ว เทคนิคที่สำคัญคือการใช้ขนาด Lot ให้สัมพันธ์กับขนาดพอร์ตและความผันผวนของคู่เงินหรือสินทรัพย์นั้น ๆ เช่น หากคุณมีพอร์ต 1,000 ดอลลาร์ การเปิด Lot ขนาด 1.0 อาจเสี่ยงเกินไปแม้ใช้เลเวอเรจสูง
การแบ่งพอร์ตเป็นหลายตำแหน่งขนาดเล็กจะทำให้สามารถกระจายความเสี่ยง และปรับแก้กลยุทธ์ได้หากสถานการณ์ตลาดไม่เป็นไปตามคาด การไม่เปิดสถานะเกินตัวยังช่วยให้คุณมี Free Margin เหลือพอไว้แก้เกม เช่น การเปิดออร์เดอร์ถัวเฉลี่ย (เฉพาะกรณีที่มีแผนและรู้จุดออกชัดเจน)
5. ตรวจสอบต้นทุนแฝง เช่น Swap หรือค่าธรรมเนียม
การใช้เลเวอเรจมักมาพร้อมกับต้นทุนแฝงที่หลายคนมองข้าม โดยเฉพาะในกรณีที่ถือออร์เดอร์ข้ามคืน (Overnight Position) ที่จะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสวอป (Swap Fee) ซึ่งอาจเป็นบวกหรือลบ ขึ้นอยู่กับทิศทางการถือและอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงิน หากเปิดสถานะโดยไม่รู้ว่าแต่ละวันเสียหรือได้เท่าไหร่ อาจกลายเป็นต้นทุนสะสมที่กินกำไรหรือเพิ่มขาดทุนโดยไม่รู้ตัว
นอกจากนี้ บางโบรกเกอร์อาจมีค่าคอมมิชชั่นต่อ Lot หรือค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่คิดตามปริมาณการใช้เลเวอเรจด้วย การคำนวณต้นทุนต่อดีลจึงควรรวมค่าธรรมเนียมเหล่านี้ด้วยเสมอ เพื่อให้คุณสามารถประเมินว่า กลยุทธ์ที่ใช้ยังคุ้มค่าหรือไม่ หากพบว่าเลเวอเรจสูงทำให้ค่าใช้จ่ายแฝงมากเกินไป ก็อาจต้องทบทวนวิธีเทรดให้ประหยัดต้นทุนมากขึ้น
เลเวอเรจ ( Leverage) คือ เครื่องมือทางการเงินที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในโลกการลงทุนสมัยใหม่ โดยเฉพาะในตลาดที่มีการซื้อขายด้วยระบบ มาร์จิ้น (Margin Trading) เช่น ตลาดฟอเร็กซ์ (Forex), หุ้น CFD, ฟิวเจอร์ส และตราสารอนุพันธ์ต่าง ๆ เลเวอเรจช่วยให้นักลงทุนสามารถเพิ่มขนาดการลงทุนหรือเปิดสถานะซื้อขายที่ใหญ่กว่าทุนที่มีอยู่จริงได้หลายเท่า ซึ่งทำให้โอกาสในการสร้างกำไรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เลเวอเรจไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือเพิ่มกำไรเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือที่เพิ่มความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนอย่างมากด้วย เพราะเมื่อใช้เลเวอเรจสูง ความผันผวนของราคาในตลาดจะถูกขยายผลไปยังพอร์ตของนักลงทุนทันที ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงที่จะโดน Margin Call หรือถูกบังคับปิดสถานะ (Stop Out) ได้ง่ายและรวดเร็ว หากไม่มีการบริหารความเสี่ยงที่ดี
จุดสำคัญที่นักเทรดทุกคนต้องเข้าใจคือ ความสัมพันธ์ระหว่าง “ขนาดเลเวอเรจ” กับ “ความผันผวนของตลาด” เป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดความเสี่ยงและโอกาสในการอยู่รอดของพอร์ตในระยะยาว โดยการเลือกใช้เลเวอเรจที่เหมาะสมกับกลยุทธ์การเทรดและความสามารถในการรับความเสี่ยงส่วนตัว จะช่วยลดโอกาสการสูญเสียหนัก และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง
นอกจากนี้ การเข้าใจโครงสร้างต้นทุนของการใช้เลเวอเรจ เช่น ค่าธรรมเนียมการถือสถานะข้ามคืน (Swap), ค่าคอมมิชชั่น และต้นทุนแฝงอื่น ๆ เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้เทรดเดอร์วางแผนการเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ และประเมินความคุ้มค่าของแต่ละดีลได้อย่างแม่นยำ
สุดท้ายนี้ การใช้ เลเวอเรจ อย่างมีวินัย มีแผนการบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน และไม่ปล่อยให้อารมณ์หรือความโลภมากำหนดการตัดสินใจ จะทำให้เครื่องมือนี้กลายเป็นตัวช่วยสร้างผลตอบแทนที่แข็งแกร่งและยั่งยืน แทนที่จะเป็นกับดักที่ทำลายพอร์ตลงทุนและเป้าหมายทางการเงินของคุณ
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใด ๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใด ๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
เรียนรู้วิธีการระบุ ตีความ และซื้อขายรูปแบบ Tasuki Gap ซึ่งเป็นสัญญาณแท่งเทียนอันทรงพลังสำหรับการต่อเนื่องของแนวโน้มในตลาดการเงิน
2025-07-31รวมวิธีดูกราฟแท่งเทียนในตลาด Forex พร้อมเปิดข้อมูลของแต่ละประเภทว่ามีอะไรบ้างและวิเคราะห์แนวโน้มต่อไปของทิศทางราคาโดยรวม
2025-07-31ค้นพบคู่สกุลเงินหลักที่ทำกำไรได้มากที่สุดในปี 2025 จากการจัดอันดับของเรา พร้อมข้อมูลว่าแต่ละคู่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับเทรดเดอร์ในปีนี้
2025-07-31