ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์เทรดอะไรได้บ้าง? มาหาคำตอบกัน

2025-04-15

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์เป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจโลกในการอำนวยความสะดวกในการซื้อขายวัสดุดิบและผลิตภัณฑ์ขั้นต้นที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ และชีวิตประจำวัน


ตลาดเหล่านี้ช่วยให้ผู้ผลิต ผู้บริโภค และนักลงทุนสามารถซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ได้ พร้อมทั้งมีกลไกในการค้นหาราคา จัดการความเสี่ยง และสร้างโอกาสในการลงทุน


อย่างไรก็ตามคำถามที่ตามมาคือ: สินค้าอะไรบ้างที่สามารถเทรดได้ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์?


ทำความเข้าใจตลาดสินค้าโภคภัณฑ์

ทำความเข้าใจตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ – EBC

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์คือพื้นที่ที่ใช้สำหรับซื้อขายสินค้าประเภทต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นตลาดจริงที่มีการส่งมอบสินค้ากันจริง ๆ หรือเป็นตลาดเสมือนที่ซื้อขายกันผ่านสัญญาหรือเครื่องมือทางการเงิน จุดประสงค์หลักของตลาดเหล่านี้คือช่วยให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถเจอกัน กำหนดราคาที่เหมาะสม และจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาได้ง่ายขึ้น


โดยทั่วไปสินค้าโภคภัณฑ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ:

  • Hard Commodities: เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ได้จากการทำเหมืองหรือการสกัด เช่น โลหะและผลิตภัณฑ์ด้านพลังงาน

  • Soft Commodities: เป็นผลผลิตทางการเกษตรหรือปศุสัตว์ เช่น ข้าวสาลี กาแฟ น้ำตาลและวัวเนื้อ


การซื้อขายสามารถทำได้ทั้งแบบส่งมอบทันทีในตลาดสปอต (Spot Market) หรือแบบสัญญาล่วงหน้าในตลาดอนุพันธ์ (Derivatives Market) เช่น ฟิวเจอร์สหรือออปชัน ซึ่งระบุว่าจะส่งมอบสินค้ากันในอนาคต ลาดเหล่านี้มีบทบาทสำคัญ เพราะช่วยให้ผู้ลงทุน ผู้ผลิต และผู้บริโภคสามารถบริหารความเสี่ยง และยังเปิดโอกาสให้เก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาได้อีกด้วย


สินค้าอะไรบ้างที่สามารถเทรดได้ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์? ประเภทต่าง ๆ ที่ควรรู้

ประเภทของสินค้าโภคภัณฑ์ - EBC

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะในการซื้อขายและปัจจัยทางตลาดที่แตกต่างกันออกไป


ด้านพลังงาน

สินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มพลังงานมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ตัวอย่างที่พบบ่อยได้แก่ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันเบนซิน และน้ำมันสำหรับให้ความร้อน

  • น้ำมันดิบ เป็นสินค้าที่ซื้อขายกันทั่วโลก และถูกใช้เป็นตัวชี้วัดราคาของสินค้าในกลุ่มพลังงานอื่น ๆ

  • ก๊าซธรรมชาติ จำเป็นต่อการให้ความร้อนและผลิตไฟฟ้า ราคาจะผันผวนตามฤดูกาลและระดับอุปทาน

  • น้ำมันเบนซินและน้ำมันให้ความร้อน เป็นผลผลิตจากการกลั่นน้ำมันดิบ ราคาของสินค้าเหล่านี้ขึ้นอยู่กับกำลังการกลั่นและสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์


โลหะ

สินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มโลหะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่:

  • โลหะมีค่า: เช่น ทองคำ เงิน แพลทินัม และแพลเลเดียม ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจไม่แน่นอน ส่วนเงินมีทั้งบทบาทด้านอุตสาหกรรมและการลงทุน ในขณะที่แพลทินัมและแพลเลเดียมใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะระบบกรองไอเสีย

  • โลหะอุตสาหกรรม: เช่น ทองแดง อะลูมิเนียม นิกเกิล สังกะสี และตะกั่ว โดยทองแดงถูกใช้ในการเดินสายไฟและโครงสร้างพื้นฐาน จึงมักเป็นตัวบ่งชี้สุขภาพของเศรษฐกิจ ส่วนอะลูมิเนียมมีคุณสมบัติเบาและทนต่อการกัดกร่อน เหมาะกับอุตสาหกรรมการขนส่งและบรรจุภัณฑ์


สินค้าเกษตร

สินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มเกษตรถือเป็นรากฐานสำคัญของระบบการผลิตอาหารทั่วโลก โดยสามารถจำแนกออกเป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่

  • ธัญพืชและพืชน้ำมัน: อาทิ ข้าวสาลี ข้าวโพด ถั่วเหลือง และข้าว ซึ่งเป็นสินค้าหลักในอุตสาหกรรมอาหารการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ผลผลิตต่อพื้นที่เพาะปลูก และระดับความต้องการในตลาดโลก ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อระดับราคา

  • Soft Commodities: คือสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ที่ต้องใช้แรงงานเข้มข้นในการผลิต เช่น กาแฟ โกโก้ น้ำตาล และฝ้าย โดยกาแฟและโกโก้มักปลูกในเขตร้อนชื้น ซึ่งทำให้ราคามีความผันผวนตามสภาพภูมิอากาศและความเสี่ยงด้านอุปทาน ส่วนน้ำตาลได้รับอิทธิพลจากระดับการผลิตในประเทศผู้ส่งออกหลักอย่างบราซิลและอินเดีย ขณะที่ฝ้ายซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมสิ่งทอ มีราคาที่ผันแปรตามกระแสแฟชั่นโลกและนโยบายการเกษตรในแต่ละประเทศ


สินค้าปศุสัตว์และเนื้อสัตว์

สินค้าในกลุ่มนี้ ได้แก่ Live Cattle, Feeder Cattle, และ Lean Hogs ตลาดเหล่านี้ได้รับอิทธิพลจากราคาวัตถุดิบ อาหารสัตว์ โรคระบาดในสัตว์ และความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์


เช่น หากราคาธัญพืชที่ใช้เป็นอาหารสัตว์ปรับตัวสูงขึ้น ก็จะทำให้ต้นทุนการเลี้ยงสัตว์สูงขึ้น และส่งผลต่อราคาจำหน่ายเนื้อสัตว์


สินค้าจากป่าไม้

ได้แก่ ไม้แปรรูป (Lumber) และเยื่อกระดาษ (Pulp) ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างและการผลิตกระดาษ

  • ราคาของไม้แปรรูปมีความผันผวนสูงตามความต้องการของภาคอสังหาริมทรัพย์ มาตรการภาษี และปัญหาห่วงโซ่อุปทาน

  • ราคาของเยื่อกระดาษขึ้นอยู่กับความต้องการสินค้ากระดาษทั่วโลกและข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม


สินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ

ได้แก่ ยางพารา ขนสัตว์ และผลิตภัณฑ์นม

  • ยางพารา: ใช้ในอุตสาหกรรมยางรถยนต์ ราคาจะเปลี่ยนแปลงตามแนวโน้มในอุตสาหกรรมยานยนต์และสภาพอากาศของประเทศผู้ผลิต

  • ขนสัตว์: ใช้ในสิ่งทอ ราคาขึ้นอยู่กับแฟชั่นและสภาพการเลี้ยงสัตว์

  • ผลิตภัณฑ์นม: เช่น นม เนย และชีส มีการซื้อขายในตลาดเช่นกัน โดยราคาจะขึ้นอยู่กับต้นทุนอาหารสัตว์ สภาพอากาศ และความต้องการทั่วโลก


กลไกการซื้อขายและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญ

นักลงทุนสามารถซื้อขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ได้หลายรูปแบบ ดังนี้:

  • ตลาดสปอต (Spot Market): เป็นการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อส่งมอบทันที โดยราคาจะสะท้อนตามสภาพตลาดในขณะนั้น

  • ฟิวเจอร์ส (Futures Contracts): เป็นสัญญามาตรฐานที่กำหนดให้ซื้อหรือขายสินค้าในปริมาณที่กำหนดล่วงหน้าในราคาที่ตกลงกันไว้ ณ วันที่ส่งมอบในอนาคต มักใช้เพื่อการป้องกันความเสี่ยงหรือเก็งกำไร

  • ออปชัน (Options Contracts): ให้สิทธิ (แต่ไม่ใช่ข้อผูกพัน) แก่ผู้ถือในการซื้อหรือขายสินค้าโภคภัณฑ์ในราคาที่กำหนด ภายในระยะเวลาที่ระบุไว้ โดยมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับใช้ป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา

  • กองทุน ETF สินค้าโภคภัณฑ์ (Exchange-Traded Funds): เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์โดยไม่ต้องถือสินค้าจริง กองทุนเหล่านี้ซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ และมีการอ้างอิงราคาตามสินค้าโภคภัณฑ์รายตัวหรือกลุ่มสินค้า


ตลาดซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ขนาดใหญ่ระดับโลกที่มีบทบาทสำคัญ ได้แก่:

  • ตลาด Chicago Mercantile Exchange (CME): มีผลิตภัณฑ์ฟิวเจอร์และออปชันที่หลากหลายครอบคลุมสินค้าทางการเกษตรและปศุสัตว์

  • ตลาด New York Mercantile Exchange (NYMEX): เชี่ยวชาญด้านพลังงาน เช่น น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ

  • ตลาด London Metal Exchange (LME): เน้นการซื้อขายโลหะอุตสาหกรรม เช่น ทองแดง อะลูมิเนียม และสังกะสี

  • ตลาด Intercontinental Exchange (ICE): ให้บริการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ในกลุ่มพลังงานเกษตรกรรม และตราสารทางการเงิน


ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้รับอิทธิพลจากหลากหลายปัจจัย ได้แก่

  • อุปสงค์และอุปทาน: หลักเศรษฐศาสตร์พื้นฐานระบุว่า หากความต้องการมากกว่าอุปทาน ราคาจะปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกัน หากอุปทานมากกว่าความต้องการ ราคาจะปรับตัวลดลง

  • เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์: ความขัดแย้ง สงคราม การเจรจาการค้า หรือความไม่มั่นคงทางการเมือง สามารถกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวน

  • สภาพอากาศ: โดยเฉพาะสินค้าเกษตรจะอ่อนไหวต่อสภาพอากาศ ภัยแล้ง หรือน้ำท่วม อาจทำให้ผลผลิตลดลงและราคาปรับตัวสูงขึ้น

  • ความผันผวนของค่าเงิน: เนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์มักถูกกำหนดราคาด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินจึงมีผลต่อการซื้อขายระหว่างประเทศและราคาสินค้า


สรุป

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์เป็นเวทีสำคัญสำหรับการซื้อขายวัตถุดิบที่จำเป็นต่อภาคอุตสาหกรรมและชีวิตประจำวัน การทำความเข้าใจประเภทของสินค้าโภคภัณฑ์วิธีการซื้อขาย และปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดนี้


ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันความเสี่ยง การลงทุน หรือการเก็งกำไร สินค้าโภคภัณฑ์ล้วนเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนได้เข้าถึงทางเลือกที่หลากหลาย


คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
กลยุทธ์จัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนใน Forex
CFD กับ Forex ต่างกันอย่างไร เลือกเทรดแบบไหนดี?
ETF vs กองทุนรวม มือใหม่เลือกแบบไหนคุ้มกว่า?
ความจริงถูกเปิดเผย ตลาดหุ้น เสาร์ อาทิตย์ เปิดไหม?
บัญชีเทรดสำคัญแค่ไหน? เจาะลึกคำตอบสำหรับมือใหม่