นโยบายการคลังแบบขยายตัว คือมาตรการของรัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายหรือการลดภาษี โดยมุ่งลดการว่างงานและส่งเสริมการเติบโตของ GDP
นโยบายการคลังแบบขยายตัว หมายถึงกลยุทธ์ของรัฐบาลที่มุ่งกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวหรือถดถอยนโยบายนี้ช่วยเพิ่มความต้องการรวมผ่านการใช้จ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น การลดภาษีหรือทั้งสองอย่างร่วมกัน
เป้าหมายของนโยบาย คือการลดอัตราการว่างงาน กระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค และธุรกิจและเร่งการเติบโตของ GDP เมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคเอกชนลดลง
ทำความเข้าใจนโยบายการคลังแบบขยายตัว
นโยบายการคลังแบบขยายตัวมีเป้าหมายหลักในการเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการเติบโต เมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย ธุรกิจจะลดการลงทุน ผู้บริโภคจะลดการใช้จ่าย และมักมีการเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงาน
สิ่งนี้ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำลงเรื่อย ๆ นโยบายการคลังแบบขยายตัวจึงพยายามที่จะพลิกสถานการณ์นี้โดยการเพิ่มปริมาณเงินที่หมุนเวียนในเศรษฐกิจ
รัฐบาลจะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบโดยตรงผ่านการใช้จ่ายหรือการลดภาษี เพื่อเพิ่มรายได้ที่ใช้ได้ของผู้บริโภค ซึ่งแตกต่างจากนโยบายการคลังแบบหดตัวที่มีเป้าหมายในการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ โดยมักเกี่ยวข้องกับการลดการใช้จ่ายหรือการเพิ่มภาษี
กลไกของนโยบายการคลังแบบขยายตัว
เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัวรัฐบาลจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและฟื้นฟูการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งนโยบายการคลังแบบขยายตัวคือหนึ่งในเครื่องมือหลัก โดยมี 3 แนวทางสำคัญที่มักถูกนำมาใช้ ได้แก่:
1. การเพิ่มการใช้จ่ายของภาครัฐ: เป็นวิธีที่เห็นผลชัดเจนที่สุด โดยรัฐบาลจะใช้งบประมาณในโครงการต่าง ๆ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การป้องกันประเทศ การศึกษา และสาธารณสุข ซึ่งนอกจากจะเป็นการให้บริการที่จำเป็นและสร้างงานแล้ว ยังช่วยกระจายเงินเข้าสู่เศรษฐกิจท้องถิ่น และส่งเสริมกิจกรรมทางธุรกิจตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน
2. การลดภาษี: การลดภาษีช่วยบรรเทาภาระทางการเงินทั้งของประชาชนและภาคธุรกิจ สำหรับประชาชน การลดภาษีเงินได้หมายถึงรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น ทำให้มีเงินใช้จ่ายมากขึ้น ขณะที่สำหรับภาคธุรกิจ การลดภาษีนิติบุคคลช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการจ้างงานเพิ่ม การขยายกิจการ หรือการลงทุนเพิ่มเติมในสินทรัพย์ถาวร
3. การโอนเงินหรือสวัสดิการสังคม: เครื่องมือนี้เน้นการแจกจ่ายเงินผ่านโครงการสวัสดิการ เช่น เงินช่วยเหลือคนว่างงาน เช็คกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเครดิตภาษีสำหรับครอบครัวที่มีบุตร โดยมักมุ่งเป้าไปยังครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ซึ่งมีแนวโน้มจะนำเงินที่ได้รับไปใช้จ่ายทันที จึงช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างในประวัติศาสตร์ของนโยบายการคลังแบบขยายตัว
ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกประสบกับภาวะชะลอตัวหรือวิกฤตหลายครั้ง รัฐบาลในประเทศต่าง ๆ ได้นำนโยบายการคลังแบบขยายตัวมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ได้แก่:
1. พระราชบัญญัติฟื้นฟูและการลงทุนของอเมริกาปี 2009 (American Recovery and Reinvestment Act): ถือเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ซึ่งเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ โดยรัฐบาลจัดสรรงบประมาณกว่า 800 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา การดูแลสุขภาพ และพลังงานสะอาด ซึ่งไม่เพียงช่วยสร้างงาน แต่ยังวางรากฐานสำหรับการเติบโตในระยะยาว
2. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนปี 2008: รัฐบาลจีนอนุมัติงบประมาณรวมกว่า 4 ล้านล้านหยวน เพื่อเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชน และการพัฒนาเทคโนโลยี โดยมีเป้าหมายเพื่อชดเชยการส่งออกที่ลดลง และป้องกันเศรษฐกิจจากภาวะชะลอตัว มาตรการนี้ช่วยให้จีนยังคงรักษาอัตราการเติบโตของ GDP ไว้ที่ระดับกว่า 8% ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจใหญ่ส่วนใหญ่ทั่วโลกอยู่ในภาวะหดตัว
3. พระราชบัญญัติกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2008 (Economic Stimulus Act): หนึ่งในมาตรการที่นำมาใช้คือการคืนภาษีให้ประชาชนสูงสุดถึง 600 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงวิกฤตการเงิน แม้ผลกระทบจะอยู่ในระยะสั้น แต่มาตรการนี้ก็ช่วยเพิ่มอุปสงค์ในระบบเศรษฐกิจได้ทันที
ประโยชน์ของนโยบายการคลังแบบขยายตัว
หากดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ นโยบายการคลังแบบขยายตัวสามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ในหลายด้าน
หนึ่งในผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด คือการสร้างงาน ตัวอย่างเช่น โครงการของรัฐอย่างการสร้างถนน ทางรถไฟ หรือโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ จะทำให้เกิดการจ้างงานโดยตรง และยังส่งผลต่อเนื่องไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นบริษัทก่อสร้าง วิศวกรรม หรือผู้จัดหาวัสดุก่อสร้าง
นอกจากนี้ นโยบายนี้ยังช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ดี เพราะเมื่อมีเงินหมุนเวียนมากขึ้น ความต้องการสินค้าและบริการก็เพิ่มขึ้นตาม ธุรกิจต่าง ๆ จึงมีแนวโน้มจะลงทุนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเครื่องจักร เพิ่มสินค้าคงคลัง หรือจ้างคนเพิ่ม ซึ่งช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวและกลับมาเดินหน้าได้เต็มที่
อีกด้านที่สำคัญ คือการป้องกันภาวะเงินฝืด ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว คนมักจะใช้จ่ายน้อยลง ส่งผลให้ราคาสินค้าตกต่ำ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจซบเซาหนักขึ้น รัฐบาลจึงใช้มาตรการกระตุ้นเพื่อดันให้ความต้องการในระบบเพิ่มขึ้น และรักษาเสถียรภาพของราคา ซึ่งช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับทั้งผู้บริโภคและนักลงทุน
ข้อเสียที่อาจเกิดขึ้นของนโยบายการคลังแบบขยายตัว
แม้นโยบายการคลังแบบขยายตัวจะมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็มีข้อควรระวังและความเสี่ยงที่ไม่อาจมองข้ามได้
ประการแรก คือปัญหาหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น เมื่อนโยบายดังกล่าวต้องอาศัยการใช้จ่ายของรัฐบาลหรือการลดภาษีในวงกว้าง ก็ย่อมส่งผลให้งบประมาณขาดดุล และรัฐบาลจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่ม หากหนี้สะสมมากเกินไป อาจกลายเป็นภาระทางการคลังในระยะยาว โดยเฉพาะต้นทุนดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย และทำให้การรับมือกับวิกฤตในอนาคตยากขึ้น
อีกความเสี่ยงที่สำคัญคือภาวะเงินเฟ้อ หากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้อุปสงค์ขยายตัวเร็วเกินไป โดยที่ฝั่งอุปทานยังไม่สามารถตอบสนองได้ทัน อาจทำให้ราคาสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ค่าครองชีพเพิ่มขึ้นและลดทอนกำลังซื้อของประชาชน ความเสี่ยงนี้ยิ่งชัดเจนเมื่อเศรษฐกิจอยู่ใกล้ระดับการจ้างงานเต็มที่
นอกจากนี้ ผลกระทบต่อภาคเอกชน หรือที่เรียกว่า “การเบียดเบียนการลงทุนของเอกชน” (Crowding Out) ก็เป็นอีกประเด็นที่ต้องพิจารณา การที่รัฐบาลกู้เงินจำนวนมากเพื่อใช้จ่าย อาจส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ธุรกิจเอกชนและประชาชนต้องเผชิญกับต้นทุนการกู้ยืมที่แพงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้การลงทุนและการบริโภคของภาคเอกชนชะลอลง และลดทอนผลของมาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจ
สุดท้าย คือปัญหาเรื่องจังหวะเวลาและความล่าช้าทางการเมือง หากนโยบายกระตุ้นถูกนำมาใช้ล่าช้าเกินไป อาจไปเริ่มในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวอยู่แล้ว ซึ่งแทนที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจกลับอาจทำให้เกิดความร้อนแรงเกินไป และนำไปสู่ปัญหาอื่นตามมา
สรุป
นโยบายการคลังแบบขยายตัวยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลสามารถใช้เพื่อพยุงเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบาก เช่น ภาวะถดถอย หรือการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หากนำมาใช้อย่างเหมาะสม ก็สามารถช่วยลดการว่างงาน กระตุ้นให้เกิดการลงทุน และสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม การใช้นโยบายนี้ต้องอาศัยความระมัดระวัง เพราะแม้จะให้ผลเชิงบวกในระยะสั้น แต่ก็อาจนำไปสู่ปัญหาในระยะยาว เช่น เงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น หรือภาระหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นจนน่ากังวล
ในโลกที่เศรษฐกิจยังคงผันผวนและเผชิญกับความไม่แน่นอนอยู่เสมอ ตั้งแต่ผลกระทบของโรคระบาด ไปจนถึงปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นเป็นระยะ นโยบายการคลังแบบขยายตัวยังคงเป็นหนึ่งในแนวทางที่ช่วยรักษาเสถียรภาพและสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบเศรษฐกิจโดยรวม
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
ติดตามราคาทองคำและเงินในปัจจุบัน สำรวจแนวโน้ม 10 ปี ปัจจัยสำคัญ อัตราส่วนราคา และเรียนรู้ว่าเวลาใดอาจเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการซื้อหรือลงทุน
2025-06-13เรียนรู้ว่าญี่ปุ่นใช้สกุลเงินอะไร บทบาทของญี่ปุ่นในฐานะสกุลเงินอย่างเป็นทางการ และเหตุใดจึงเป็นสกุลเงินที่ผู้ค้าสกุลเงินทั่วโลกชื่นชอบ
2025-06-13ค้นพบว่า SWPPX ของ Schwab มอบการเข้าถึง S&P 500 ต้นทุนต่ำได้อย่างไร พร้อมมอบประสิทธิภาพที่มั่นคงและความแข็งแกร่งของพอร์ตโฟลิโอในระยะยาว
2025-06-13