ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณากำหนดเกณฑ์รายได้ต่างประเทศ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ    ขณะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น 7% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณากำหนดเกณฑ์รายได้ต่างประเทศ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น 7% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ

ผู้เขียน: Vivian Collins

เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-05

กรุงเทพฯ 3 ธันวาคม 2568 — ธนาคารกลางแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังเตรียมมาตรการเพื่อบรรเทาแรงกดดันต่อค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้น 7% เทียบกับดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ ทำให้เป็นสกุลเงินที่ทำผลงานดีที่สุดเป็นอันดับสองในเอเชีย ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ให้คำแนะนำต่อกระทรวงการคลังให้พิจารณาปรับเพิ่มเกณฑ์รายได้จากต่างประเทศที่ผู้ประกอบการสามารถเก็บไว้ในต่างประเทศได้ โดยไม่ต้องนำเงินตราต่างประเทศ (โดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐ) กลับเข้ามาในประเทศทันที โดยคาดว่าจะเริ่มใช้มาตรการนี้ในเดือนนี้ เกณฑ์ที่สูงขึ้นนี้มีเป้าหมายเพื่อให้บริษัทต่าง ๆ มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการจัดการรายได้จากต่างประเทศ พร้อมกับลดปริมาณเงินตราต่างประเทศที่ถูกนำเข้ามาในประเทศ ช่วยบรรเทาแรงกดดันต่อค่าเงินบาท 

ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดเกณฑ์รายได้ต่างประเทศ 10 ล้านเหรียญสหรัฐ

Samuel Hertz หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ EBC Financial Group (“EBC”) กล่าวว่า “ขนาดของการปรับเพิ่มครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามอย่างชัดเจนในการลดปริมาณเงินตราต่างประเทศที่ไหลเข้าสู่ประเทศ และเพิ่มความยืดหยุ่นมากขึ้นแก่บริษัทในการจัดการสภาพคล่อง การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความกังวลของผู้กำหนดนโยบายว่า การแข็งค่าของเงินบาทอย่างรวดเร็วอาจกัดกร่อนความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย” 


มาตรการกำกับดูแลธุรกรรมทองคำที่เข้มงวด บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบ 

ควบคู่ไปกับมาตรการกำหนดรายได้จากต่างประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย กำลังเพิ่มความเข้มงวดการตรวจสอบกระแสเงินตราต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับทองคำ สถาบันการเงินได้รับคำสั่งให้ใช้มาตรการตรวจสอบความเหมาะสมอย่างเข้มงวดก่อนดำเนินการธุรกรรม ขณะที่ผู้ค้าทองคำรายใหญ่บางรายอาจต้องรายงานข้อมูลธุรกรรมอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถติดตามและประเมินผลกระทบต่อค่าเงินบาทได้อย่างมีประสิทธิภาพ 


Hertz กล่าวว่า “การติดตามกระแสทองคำมีความสำคัญเพิ่มขึ้น เนื่องจากบทบาทของทองคำในการเคลื่อนไหวของค่าเงินเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาทองคำโลกพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการขายดอลลาร์และกิจกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้น ความชัดเจนในการกำกับดูแลมากขึ้นจะช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายประเมินขนาดและช่วงเวลาของแรงกดดันต่อค่าเงินได้แม่นยำยิ่งขึ้น มาตรการที่เพิ่มความโปร่งใสเกี่ยวกับพฤติกรรมธุรกรรมมักสนับสนุนสภาพตลาดที่สงบขึ้น โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนและสถาบันที่ติดตามแนวโน้มสภาพคล่อง” 


ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 1% ส่วนใหญ่เกิดจากดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า การขายเงินตราต่างประเทศของผู้ส่งออก การไหลเข้าของพันธบัตร และการซื้อขายที่เกี่ยวข้องกับราคาทองคำโลกที่พุ่งขึ้นมากกว่า 4% ตามรายงานของธนาคารกลาง โดยเปิดตลาดวันจันทร์ที่ระดับ 32.09 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าจากปิดตลาดวันศุกร์ที่ 32.12 บาท และคาดว่าจะมีการซื้อขายในสัปดาห์นี้ในกรอบ 31.85–32.45 บาทต่อดอลลาร์ 


แนวโน้มดอกเบี้ยยังไม่แน่นอน ก่อนการทบทวนนโยบายในเดือนธันวาคม 

ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย วิไท รัตนากร ระบุว่ายังมีช่องว่างสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย แม้ว่าการปรับลดดังกล่าวอาจมีผลจำกัดต่อความท้าทายเชิงโครงสร้างในระยะยาว อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ 1.50% หลังจากลดไปแล้ว 4 ครั้งในรอบปีที่ผ่านมา และมีกำหนดการทบทวนครั้งถัดไปในวันที่ 17 ธันวาคม นักวิเคราะห์คาดว่าอาจมีการปรับลดอีกครั้ง หลังจากที่ธนาคารกลางคงอัตราไว้อย่างไม่คาดคิดในเดือนตุลาคม 


Hertz กล่าวเพิ่มเติมว่า “การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยจะยังคงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากตลาดการเงินโลกยังไวต่อความคาดหวังต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งนโยบายไทยและทิศทางการเงินของสหรัฐฯ นักลงทุนและบริษัทต่าง ๆ น่าจะประเมินความเคลื่อนไหวของนโยบายควบคู่ไปกับกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงิน” 


เขาสรุปว่า “การจัดการอัตราแลกเปลี่ยน การกำกับดูแลธุรกรรม และการปรับเปลี่ยนกฎรายได้ต่างประเทศ เป็นกลยุทธ์ที่มุ่งลดความผันผวนเกินจำเป็น มากกว่าการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานทางเศรษฐกิจ” ธปท.ได้ส่งสัญญาณว่าจะติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดและแทรกแซงหากจำเป็นเพื่อจำกัดผลกระทบต่อภาคธุรกิจ 


สำหรับบทวิเคราะห์เพิ่มเติมจาก EBC เยี่ยมชมได้ที่:  www.ebc.com


ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และไม่ถือเป็นข้อเสนอแนะหรือคำแนะนำจาก EBC Financial Group และทุกหน่วยงานในเครือ ("EBC") การซื้อขายฟอเร็กซ์และสัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFDs) ด้วยมาร์จิ้นมีความเสี่ยงสูงและอาจไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนทุกประเภท ความสูญเสียอาจมากกว่าจำนวนเงินที่คุณฝาก ก่อนทำการซื้อขาย คุณควรพิจารณาวัตถุประสงค์ในการเทรด ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่ยอมรับได้อย่างรอบคอบ และควรขอคำปรึกษาจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระหากจำเป็น สถิติหรือผลตอบแทนในอดีตไม่สามารถรับประกันผลการลงทุนในอนาคต EBC จะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการนำข้อมูลนี้ไปใช้หรือเชื่อถือ