Range Bound Trading: กลยุทธ์ทำกำไรในตลาดไซด์เวย์
简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

Range Bound Trading: กลยุทธ์ทำกำไรในตลาดไซด์เวย์

ผู้เขียน: Ethan Vale

เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-03   
อัปเดตเมื่อ: 2025-12-04

เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักไล่ตามแนวโน้ม โดยหวังว่าจะเห็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ แต่ตลาดกลับใช้เวลาเคลื่อนไหวในกรอบแคบมากกว่าแนวโน้ม ตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบแคบจะเกิดขึ้นเมื่อราคาแกว่งตัวอยู่ระหว่างแนวรับและแนวต้าน แม้ว่าช่วงเวลาเหล่านี้อาจดูช้า แต่ก็เป็นโอกาสที่คาดการณ์ได้และเกิดขึ้นซ้ำได้สำหรับเทรดเดอร์ที่มีวินัย


ตลาดเคลื่อนไหวในกรอบแคบ (Sideways Market) คือการหยุดชะงัก ไม่ใช่การอยู่นิ่ง ผู้ซื้อและผู้ขายจะเข้าสู่ภาวะสมดุลชั่วคราว และความผันผวนจะลดลง ช่วงเวลาเหล่านี้มักเกิดขึ้นหลังจากการฟื้นตัวหรือการขายทำกำไรอย่างแข็งแกร่ง ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน หรือขณะที่เทรดเดอร์กำลังรอข่าวสำคัญ แม้ว่าแนวโน้มอาจนำมาซึ่งผลกำไรมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว แต่ตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบแคบ (Range bound Market) จะให้ผลกำไรที่น้อยกว่าแต่มั่นคงกว่า โดยมีความเสี่ยงที่ควบคุมได้


ทำความเข้าใจตลาด Range-Bound (Sideway)

A Range-Bound market appears on the price chart

ในตลาดแบบไซด์เวย์ (Range-bound) ราคาจะเด้งขึ้น–ลงในกรอบเดิมซ้ำ ๆ โดยไม่สร้างเทรนด์ใหม่ ลองนึกภาพ “ลูกบอลเด้งไปมาระหว่างกำแพงสองด้าน” แนวรับคือพื้น แนวต้านคือเพดาน การเคลื่อนไหวที่พอคาดเดาได้เช่นนี้ทำให้เทรดเดอร์สามารถวางแผนจุดเข้า–ออกได้แม่นยำขึ้น

สัญญาณสำคัญของตลาด Range-bound:

  • ความผันผวนลดลง: ราคาแกว่งตัวแคบลง แท่งเทียนสั้นลงอย่างชัดเจน

  • ปริมาณการซื้อขายลดลง: ผู้เล่นในตลาดลังเล ไม่พร้อมผลักราคาทะลุกรอบ

  • อินดิเคเตอร์อย่าง RSI หรือ Stochastics แกว่งใกล้โซนกลาง: สะท้อนแรงโมเมนตัมต่ำ ไม่มีทิศทางชัดเจน

  • หลายไทม์เฟรมยืนยันภาพ Range-bound เหมือนกัน: ลดความเสี่ยงตีความผิดว่าตลาดกำลังจะเริ่มเทรนด์ใหม่


การเทรดในกรอบราคา: Bounce vs Breakout


ผู้ซื้อขายสามารถทำกำไรจากตลาดเคลื่อนไหวในแนวข้างได้ 2 วิธีหลักๆ คือ การดีดตัวกลับภายในช่วงราคา หรือการซื้อขายแบบทะลุกรอบ

1. การซื้อขายแบบ Bounce Trading

การเทรดแบบ Bounce เกี่ยวข้องกับการซื้อใกล้แนวรับและขายใกล้แนวต้าน เทรดเดอร์มักมองหารูปแบบแท่งเทียนกลับตัว เช่น แท่งเทียนแบบ Pin Bar หรือแท่งเทียนแบบ Engulfing วินัยเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการเข้าเทรดในระยะกลางจะเพิ่มความเสี่ยง


คำสั่ง Stop-loss จะถูกวางไว้เหนือขอบเขตที่กำหนดเพื่อจำกัดการขาดทุน การเทรดแบบ Bounce จะได้ผลดีที่สุดในช่วงราคาที่กำหนดไว้ชัดเจนและมีปริมาณการซื้อขายต่ำ

เทคนิคสำคัญสำหรับ Bounce Trading:

  • รอให้ราคาเข้าใกล้แนวรับหรือแนวต้าน

  • ใช้ตัวบ่งชี้ (RSI, Stochastics) เพื่อยืนยันสภาวะซื้อมากเกินไป/ขายมากเกินไป

  • หลีกเลี่ยงการไล่ตามการซื้อขายเมื่อขอบเขตกำลังอ่อนแอลง

2. การซื้อขายแบบ Breakout Trading

การเทรดแบบ Breakout จะจับการเคลื่อนไหวเมื่อราคาหลุดกรอบ การ Breakout ที่แท้จริงจะมาพร้อมกับแท่งเทียนที่มีโมเมนตัมแข็งแกร่งและปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น

A valid Market Range Breakout to the upside

เทรดเดอร์ที่เข้าเทรดเมื่อราคาทะลุแนวรับสามารถวางคำสั่งตัดขาดทุนใกล้จุดกึ่งกลางของกรอบราคาก่อนหน้า และใช้ความสูงของกรอบราคาเพื่อกำหนดเป้าหมายกำไร การทดสอบซ้ำของระดับที่ทะลุแนวรับจะทำให้สามารถเข้าเทรดเพิ่มเติมได้

เคล็ดลับสำหรับการซื้อขายแบบ Breakout Trading:

  • รอการยืนยันปริมาณ

  • หลีกเลี่ยงการเข้าแบบหุนหันพลันแล่น ความอดทนจะช่วยลดความเสี่ยงในการทะลุราคาที่ผิดพลาด

  • ตรวจสอบการทดสอบซ้ำของแนวรับ/แนวต้านที่พังทลายเพื่อการเข้าซื้อที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

How to trade Range breakouts

เครื่องมือและอินดิเคเตอร์สำหรับการเทรดในตลาด Range bound

การใช้เครื่องมือที่เหมาะสมจะช่วยกำหนดจังหวะเข้าออกได้ดีขึ้นและลดความเสี่ยง:

  • ออสซิลเลเตอร์ (RSI, Stochastics, CCI): ระบุโซนซื้อมากเกินไป/ขายมากเกินไปใกล้ขอบเขต

  • ตัวบ่งชี้ความผันผวน (ATR, Bollinger Bands): ระบุการบีบอัดหรือการขยายตัว ซึ่งเป็นสัญญาณของการทะลุราคาที่เป็นไปได้

  • ระดับการสนับสนุน/การต้านทานและโซนแกนหมุน: ให้จุดเข้า/ออกที่ชัดเจน

  • ADX (ดัชนีทิศทางเฉลี่ย) ยืนยันว่าตลาดอยู่ในแนวโน้มด้านข้างอย่างแท้จริง

เคล็ดลับสำหรับมือโปร: ผสมผสานการเคลื่อนไหวของราคาเข้ากับตัวบ่งชี้เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น การเทรดแบบ Bounce จะน่าเชื่อถือมากขึ้นเมื่อแท่งเทียนกลับตัวสอดคล้องกับค่า RSI ที่ระบุว่า Oversold


การบริหารความเสี่ยงและจิตวิทยาในการเทรดตลาด Range bound

แม้ตลาด Range bound จะคาดเดาได้มากกว่า แต่ก็ยังต้องใช้การบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ กำไรต่อไม้มักน้อย ทำให้หลายคนเผลอเทรดมากเกินไป ดังนั้นขนาดสัญญาที่พอเหมาะ จุดตัดขาดทุนที่คิดมาแล้ว และวินัยในการเข้าเทรดจึงสำคัญมาก


กลยุทธ์บริหารความเสี่ยงหลัก:

  • เทรดเฉพาะจุดที่ราคาเข้าใกล้ขอบบน–ล่างของกรอบอย่างชัดเจน

  • หลีกเลี่ยงการเข้าเทรดกลางกรอบหากยังไม่มีสัญญาณยืนยัน

  • หยุดดูสถานการณ์เมื่อกรอบราคาเริ่มอ่อนแรง หรือมีข่าวสำคัญที่อาจทำให้ราคาหลุดกรอบ

  • รักษาความอดทน และหลีกเลี่ยงการตัดสินใจแบบหุนหันพลันแล่น


ตัวอย่างจริงของการเทรดในตลาด Range Bound

A trading example of the Inner Swings range bound trading strategy

1. ตัวอย่างการเทรดแบบ Bounce:

EUR/USD เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1.0800 ถึง 1.0900 การซื้อใกล้โซน 1.0800 และขายใกล้ 1.0900 หลาย ๆ รอบ สามารถสร้างกำไรเล็ก ๆ แต่สม่ำเสมอได้

2. ตัวอย่างการเทรดแบบ Breakout:

ดัชนี S&P 500 ฟิวเจอร์สกำลังทรงตัวอยู่ระหว่าง 4,500 ถึง 4,600 เป็นเวลา 10 วัน แท่งเทียนที่แข็งแกร่งทะลุ 4,600 พร้อมปริมาณการซื้อขายสูง เทรดเดอร์ที่เล็งเป้าไปที่ช่วงราคาสูงสุดสามารถทำกำไรได้ ขณะที่เทรดเดอร์ที่ระมัดระวังอาจรอทดสอบแนวต้านอีกครั้ง


คำถามที่พบบ่อย

1. ทำไมตลาดมักเคลื่อนไหวในลักษณะ Range Bound?

ตลาดจะเข้าสู่ช่วงสะสมเมื่อแรงซื้อและแรงขายสมดุลกัน หรือเมื่อนักเทรดรอความชัดเจนจากข้อมูลเศรษฐกิจ ช่วงพักนี้ช่วยให้ตลาดฟื้นตัวก่อนเลือกทิศทางครั้งต่อไป

2. อินดิเคเตอร์ใดเหมาะที่สุดสำหรับตลาด Range Bound?

ออสซิลเลเตอร์อย่าง RSI, Stochastics และ CCI ช่วยระบุโซน Overbought/Oversold
ส่วน Bollinger Bands, ATR และแนวรับ–แนวต้านที่ชัดเจน ช่วยบอกภาวะการบีบตัวของราคาและจุดเข้าเทรด

3. การเทรดแบบเด้งกลับ (Bounce Trading) ปลอดภัยกว่าการเทรดเบรกเอาต์หรือไม่?

โดยทั่วไปใช่ Bounce Trading มักเสี่ยงน้อยกว่าเพราะอาศัยกรอบราคาที่ชัดเจน ส่วน Breakout แม้ให้กำไรมากกว่า แต่ต้องมีการยืนยันและวินัยสูงกว่า

4. จะหลีกเลี่ยง False Breakout ได้อย่างไร?

รอแท่งเทียนที่มีแรง (Momentum) พร้อมปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้นทะลุกรอบ หลีกเลี่ยงการไล่ราคา และควรวาง Stop Loss ป้องกันเสมอ

5. เทรดเดอร์ควรบริหารความเสี่ยงอย่างไรในตลาด Range Bound?

ใช้ขนาดสัญญาที่พอดี วาง Stop Loss นอกกรอบราคา และหลีกเลี่ยงการเข้าเทรดกลางกรอบ ความอดทนและการรอจังหวะที่ชัดเจนช่วยเพิ่มความสม่ำเสมอและลดการขาดทุน


บทสรุป

แม้ตลาด Range Bound จะดูช้ากว่าตลาดที่มีเทรนด์ชัดเจน แต่จริง ๆ แล้วสามารถมอบโอกาสทำกำไรที่สม่ำเสมอและมีความเสี่ยงต่ำให้กับเทรดเดอร์ที่มีวินัยได้


ด้วยการเข้าใจการอ่านแนวรับ–แนวต้าน การเทรดแบบเด้งกลับ การเตรียมพร้อมรับเบรกเอาต์ และการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เทรดเดอร์สามารถเปลี่ยนการเคลื่อนไหวด้านข้างให้กลายเป็นโอกาสทำกำไรที่เชื่อถือได้ ความอดทน การสังเกต และการลงมืออย่างแม่นยำ คือกุญแจสำคัญในการเชี่ยวชาญตลาดไซด์เวย์


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ


บทความแนะนำ
Mean Reversion คืออะไร? ทำกำไรได้จริงหรือไม่?
อินดิเคเตอร์เทรดออปชั่นที่ดีที่สุดในปี 2025
ควร Buy or Sell น้ำมันดิบ? ท่ามกลางความผันผวนตลาด
เคล็ดลับการเทรดแบบ Mean Reversion ทำกำไรแบบมือโปร
อธิบาย ETF CFD คืออะไรและทำงานอย่างไร?