简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

กลยุทธ์ Opening Range Breakout (ORB) เข้าใจง่ายสำหรับมือใหม่

เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-13    อัปเดตเมื่อ: 2025-10-14

ลองจินตนาการถึงการชมการแข่งขันมาราธอน ขณะที่เสียงปืนเริ่มต้นดังขึ้น นักวิ่งต่างพุ่งตัวออกไปเพื่อกำหนดจังหวะของการแข่งขันทั้งหมด เหตุการณ์เช่นนี้ก็เกิดขึ้นในตลาดหุ้นและตลาด Forex ทุกเช้าเช่นกัน ชั่วโมงแรกของการซื้อขายเปรียบเสมือนเสียงปืนเริ่มต้น เต็มไปด้วยความรวดเร็ว อารมณ์ และความเด็ดขาด


เทรดเดอร์มืออาชีพต่างรู้ดีถึง “ความลับ” นี้ การเคลื่อนไหวของตลาดในช่วงต้นมักเป็นตัวกำหนดทิศทางของทั้งวัน และกลยุทธ์ Opening Range Breakout (ORB) ก็ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อจับจังหวะแรกของแรงโมเมนตัมนั้น


หากคุณเคยสงสัยว่าเหตุใดเทรดเดอร์บางคนจึงสามารถรู้ได้ทันทีว่าจะเข้าเทรดเมื่อใดหลังตลาดเปิด บทความนี้จะอธิบายหลักการ ขั้นตอน และจิตวิทยาที่อยู่เบื้องหลังกกลยุทธ์ ORB อย่างเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นทุกคน


กลยุทธ์ Opening Range Breakout (ORB) คืออะไร?

กลยุทธ์ Opening Range Breakout (ORB)

ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น กลยุทธ์ Opening Range Breakout (ORB) คือแนวทางการเทรดที่มุ่งเน้นการเคลื่อนไหวของราคาภายในช่วงไม่กี่นาทีแรกหลังจากตลาดเปิด โดยทั่วไปจะอยู่ในช่วง 15 ถึง 60 นาทีแรก


ในระหว่างช่วงเวลานี้ เทรดเดอร์จะทำการกำหนดจุดราคาสูงสุด (High) และจุดราคาต่ำสุด (Low) ของสินทรัพย์ ซึ่งสองระดับราคานี้จะถูกเรียกว่า “ช่วงราคาเปิดตลาด” (Opening Range)


แนวคิดของกลยุทธ์นี้มีความเรียบง่ายคือ :

เมื่อราคาทะลุเหนือจุดสูงสุดของช่วงราคาเปิดตลาด หรือหลุดต่ำกว่าจุดต่ำสุดของช่วงนั้น จะเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงทิศทางของแรงโมเมนตัมในวันนั้น


โดยพื้นฐานแล้ว :

  • หากราคาทะลุเหนือช่วงสูงสุด → มีแนวโน้มขาขึ้น (สัญญาณซื้อ)

  • หากราคาหลุดต่ำกว่าช่วงต่ำสุด → มีแนวโน้มขาลง (สัญญาณขาย)


เหตุใดช่วงราคาเปิดตลาดจึงมีความสำคัญต่อการเทรดด้วยกลยุทธ์ ORB

กลยุทธ์ ORB

นาทีแรก ๆ ของการเปิดตลาดคือช่วงเวลาที่ สภาพคล่อง (liquidity) ปริมาณการซื้อขาย (volume) และความผันผวน (volatility) พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งสถาบันการเงิน กองทุน และนักเทรดรายย่อยต่างก็เร่งตอบสนองต่อข่าวสารระหว่างคืน รายงานผลประกอบการ หรือเหตุการณ์ระดับโลกที่เกิดขึ้นก่อนตลาดเปิด


กระแสการซื้อขายอย่างหนาแน่นนี้เป็นตัวกำหนด “สนามรบแรกของวัน” ระหว่างฝั่งผู้ซื้อและผู้ขาย และช่วงราคาที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากว่า:


  • สะท้อนถึงทิศทางความเชื่อมั่นของตลาด ในช่วงเริ่มต้นของวัน

  • มักทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านระยะสั้น

  • การเบรกเอาท์ออกจากช่วงราคานี้มักเป็นสัญญาณของแรงเข้าซื้อหรือแรงขายจากสถาบัน และบ่งบอกถึงเจตนาการเคลื่อนไหวของราคาอย่างชัดเจน


ลองนึกภาพเหมือนกับการแข่งขันชักเย่อ ทีมใดที่สามารถดึงเชือกทะลุเส้นได้ก่อน (เบรกเอาท์จากช่วงราคา) ก็มักจะเป็นฝ่ายควบคุมแรงโมเมนตัมของตลาดไปได้ในระยะต่อไป


กลยุทธ์ ORB ทำงานอย่างไร? คู่มือแบบทีทีละขั้นตอน

กลยุทธ์การเทรด Opening Range Breakout (ORB)

ต่อไปนี้คือขั้นตอนการใช้กลยุทธ์ ORB ที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่นิยมใช้:


ขั้นตอนที่ 1: กำหนดช่วงราคาเปิดตลาด (Opening Range)

เลือกช่วงเวลาเฉพาะหลังตลาดเปิด ซึ่งมักนิยมใช้ดังนี้:

  • ORB 15 นาที

  • ORB 30 นาที

  • ORB 1 ชั่วโมง


ตัวอย่างเช่น ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเปิดเวลา 9:30 น. (ET) การใช้ ORB แบบ 30 นาที หมายถึงการเก็บข้อมูลราคาตั้งแต่ 9:30 ถึง 10:00 น. โดยราคาสูงสุด (High) และราคาต่ำสุด (Low) ในช่วงเวลานี้จะกลายเป็นระดับราคาสำคัญของการเบรกเอาท์


ขั้นตอนที่ 2: รอการเบรกเอาท์ (Breakout)

เมื่อได้ช่วงราคาที่ชัดเจนแล้ว ให้สังเกตการเคลื่อนไหวของราคา หากราคา

  • ทะลุเหนือจุดสูงสุดของช่วงราคา → พิจารณา “เข้าซื้อ (Long)”

  • หลุดต่ำกว่าจุดต่ำสุดของช่วงราคา → พิจารณา “ขาย (Short)”


สัญญาณเบรกเอาท์ที่ดีควรมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น (Volume) เพื่อยืนยันว่าเป็นแรงซื้อขายจริงจากนักลงทุน ไม่ใช่จากอัลกอริทึมเท่านั้น


ขั้นตอนที่ 3: ตั้งจุดหยุดขาดทุน (Stop-Loss) และเป้าหมายทำกำไร (Target)

การบริหารความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์นี้

  • ตั้งจุด Stop-Loss ไว้ด้านในของช่วงราคาฝั่งตรงข้ามเล็กน้อย

  • ตั้งเป้าหมายทำกำไร (Profit Target) ที่ประมาณ 1.5–2 เท่าของระยะห่าง Stop-Loss


ตัวอย่างเช่น หากช่วงราคาเปิดกว้าง 40 จุด และคุณเข้าเทรดเมื่อราคาเบรกเอาท์ อาจตั้ง Stop-Loss ที่ 20 จุด และตั้งเป้าหมายกำไรไว้ที่ 40 จุด


ขั้นตอนที่ 4: บริหารจัดการการเทรด (Trade Management)

บางเทรดเดอร์จะปิดสถานะทันทีเมื่อถึงเป้าหมายทำกำไร ขณะที่บางคนเลือกใช้การ เลื่อน Stop-Loss ตามราคา (Trailing Stop) เพื่อเก็บกำไรจากเทรนด์ที่แข็งแรง ข้อดีของ ORB คือ ความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับใช้ได้ทั้งกับเทรดเดอร์สายสั้น (Scalper) เทรดเดอร์รายวัน (Day Trader) และเทรดเดอร์สายถือระยะกลาง (Swing Trader)


ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์ ORB ในตลาดจริง

สมมติว่าคุณใช้ดัชนี NASDAQ 100 (NDX) เป็นตัวอย่าง

  1. ตลาดเปิดเวลา 9.30 น. ET

  2. ระหว่าง 9:30 – 10:00 น. ราคาสูงสุดอยู่ที่ 18,720 และราคาต่ำสุดอยู่ที่ 18,640

  3. ช่วงราคา (Range) = 80 จุด


เวลา 10:10 น. ราคาทะลุเหนือ 18,720 พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่น


เทรดเดอร์จึงเข้าซื้อที่ 18,725 โดยตั้งค่าไว้ดังนี้:

  • Stop-loss: 18,680 (ต่ำกว่ากลางช่วงราคา)

  • Target: 18,805 (เป้าหมาย 80 จุด คิดเป็นอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน 1:2)


ภายในเวลาเพียง 45 นาที ดัชนีแตะเป้าหมายที่ตั้งไว้ แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ ORB ในการจับแรงโมเมนตัมช่วงต้นได้อย่างแม่นยำ


อย่างไรก็ตาม หากราคากลับตัวและหลุดกลับต่ำกว่าช่วงราคา เทรดเดอร์ที่มีวินัยจะปิดสถานะทันที เพื่อจำกัดการขาดทุนให้น้อยที่สุด


เหตุผลที่เทรดเดอร์ชื่นชอบกลยุทธ์ ORB

กลยุทธ์ ORB ถือเป็นหนึ่งในรูปแบบการเทรดรายวันที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เนื่องจากมีข้อดีหลายประการ ได้แก่:


  1. ใช้งานง่าย : ต้องติดตามเพียงสองระดับราคา — สูงสุดและต่ำสุด

  2. ประหยัดเวลา : เทรดได้ในช่วง 1–2 ชั่วโมงแรกของวัน

  3. อิงข้อมูลจริง : อ้างอิงจากพฤติกรรมของตลาดจริง ไม่ใช่การคาดเดา

  4. ยืดหยุ่น : ใช้ได้กับตลาดหุ้น Forex ดัชนี และสินค้าโภคภัณฑ์

  5. จับแรงโมเมนตัมช่วงต้น : เทรดไปพร้อมกับแรงซื้อขายของสถาบัน


โดยสรุปแล้ว กลยุทธ์ ORB คือ การผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างวินัยและโอกาส ที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคว้าแรงเคลื่อนไหวสำคัญของตลาดได้ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของวัน


ข้อดีและข้อจำกัดของกลยุทธ์ ORB

ข้อดี ข้อจำกัด
กฎการเข้า/ออกที่ชัดเจนและเรียบง่าย การเบรกเอาท์หลอก (False Breakout) อาจทำให้ขาดทุนได้อย่างรวดเร็ว
ใช้งานได้กับสินทรัพย์หลายประเภท ต้องมีวินัยและจังหวะเวลา
ศักยภาพความเสี่ยงต่อผลตอบแทนสูง ไม่เหมาะกับตลาดที่เคลื่อนไหวแคบหรือมีปริมาณการซื้อขายต่ำ
สามารถตั้งระบบเทรดอัตโนมัติได้ง่าย ความผันผวนสูงในช่วงต้นตลาดอาจทำให้เกิดการแกว่งตัวแรง (Whipsaw)
เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีเวลาจำกัด แรงกดดันทางอารมณ์ในตลาดที่เคลื่อนไหวรวดเร็ว


คำแนะนำในการใช้กลยุทธ์ ORB: ผสานกับอินดิเคเตอร์ทางเทคนิค

เทรดเดอร์จำนวนมากนิยมผสานกลยุทธ์ ORB เข้ากับอินดิเคเตอร์ทางเทคนิค เพื่อช่วยกรองสัญญาณหลอกและเพิ่มความแม่นยำในการเข้าเทรด ตัวอย่างอินดิเคเตอร์ที่นิยมใช้ร่วมกัน ได้แก่


1. ปริมาณการซื้อขาย (Volume)

ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นยืนยันได้ว่าแรงเบรกเอาท์นั้นเกิดจากแรงซื้อขายจริง


2. ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages: MA)

หากการเบรกเอาท์เกิดขึ้นในทิศทางเดียวกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เช่น 20 EMA หรือ 50 EMA มีโอกาสสูงที่แนวโน้มจะดำเนินต่อ


3. RSI

หลีกเลี่ยงการซื้อเมื่อค่า RSI สูงกว่า 70 หรือการขายเมื่อ RSI ต่ำกว่า 30 เพราะอาจเป็นสัญญาณของการหมดแรงของราคา


4. VWAP (Volume-Weighted Average Price)

การเบรกเอาท์ที่เกิดเหนือค่า VWAP มักบ่งชี้ถึงแรงซื้อ (แนวโน้มขาขึ้น) ขณะที่การเบรกเอาท์ต่ำกว่า VWAP สื่อถึงแรงขาย (แนวโน้มขาลง) โดย VWAP ทำหน้าที่เป็นอินดิเคเตอร์แนวโน้มที่สำคัญในการเทรดระหว่างวัน


คำถามที่พบบ่อย

1. ORB หมายถึงอะไรในการเทรด?

ORB ย่อมาจาก Opening Range Breakout เป็นกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงนาทีแรกหลังตลาดเปิด


2. กำหนดช่วงราคาเปิดตลาดอย่างไร?

เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักใช้ช่วงเวลา 15, 30 หรือ 60 นาทีแรกของการเปิดตลาด เพื่อกำหนดจุดราคาสูงสุดและต่ำสุด


3. ช่วงเวลาใดเหมาะสมที่สุดสำหรับการใช้ ORB?

ผู้เริ่มต้นมักเริ่มจาก ORB แบบ 30 นาที ซึ่งช่วยให้จับแรงโมเมนตัมต้นวันได้โดยไม่ต้องเผชิญความผันผวนมากเกินไป


4. ORB ใช้ได้ผลทุกวันหรือไม่?

ไม่เสมอไป กลยุทธ์นี้จะได้ผลดีที่สุดในวันที่มีข่าวสำคัญ ความผันผวนสูง หรือมีการประกาศผลประกอบการ


5. ORB เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือไม่?

เหมาะอย่างยิ่ง เพราะเป็นกลยุทธ์ที่เข้าใจง่ายและสามารถใช้ได้จริง หากมีการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม


บทสรุป

สรุปแล้ว กลยุทธ์ Opening Range Breakout (ORB) เป็นตัวอย่างที่พิสูจน์ได้ว่า “แนวคิดที่เรียบง่ายที่สุดบางครั้งก็มีประสิทธิภาพที่สุด” ด้วยการโฟกัสไปที่แรงโมเมนตัมช่วงต้นของตลาด เทรดเดอร์สามารถเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับแรงซื้อขายของสถาบันและแนวโน้มของตลาดโดยรวมได้อย่างมีวินัย


อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือ กลยุทธ์ ORB ไม่ใช่การคาดเดาทิศทางของตลาด แต่คือการตอบสนองอย่างมีระบบและมีวินัย เมื่อทิศทางเริ่มเปิดเผยตัวเองอย่างชัดเจน


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
กลยุทธ์ Momentum Trading ที่เทรดเดอร์ควรรู้
ช่วงเวลาทำกำไรสูงสุดในตลาดน้ำมันดิบ
Power Hour ในการเทรดคืออะไร? เคล็ดลับการเพิ่มผลตอบแทนสูงสุด
ตลาดหุ้นเปิดกี่โมง? คู่มือเวลาเปิด-ปิดตลาด
เจาะลึก Nasdaq 100 Futures ฉบับนักเทรดมือใหม่