Power Hour ในการเทรดคืออะไร? สำรวจช่วงเวลาสำคัญ ความหมาย และกลยุทธ์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในการใช้ประโยชน์จากความผันผวนของตลาดก่อนที่ตลาดจะปิดทำการ
ตลาดการเงินดำเนินไปตามจังหวะเวลาไม่แพ้กลยุทธ์การลงทุน นักเทรดมักกล่าวถึง “Power Hour” ว่าเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของวันเทรด คำนี้ไม่ได้เป็นเพียงศัพท์เฉพาะเท่านั้น แต่หมายถึงช่วงเวลาที่กิจกรรมในตลาดมีความคึกคักเป็นพิเศษ และโอกาสในการเทรดที่โดดเด่นก็ปรากฏขึ้น
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเทรดแบบรายวัน (Day Trader) หรือเทรดแบบสวิง (Swing Trader) การเข้าใจและใช้ประโยชน์จาก Power Hour อย่างถูกวิธีสามารถเพิ่มผลตอบแทนของคุณได้อย่างมีนัยสำคัญ
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับความหมายของ Power Hour เหตุผลที่ทำให้ช่วงเวลานี้สำคัญ และวิธีการใช้กลยุทธ์ช่วนี้เพื่อเพิ่มผลกำไร พร้อมทั้งจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
Power Hour ในการเทรดหมายถึงช่วงเวลาที่มีปริมาณการซื้อขายและความผันผวนสูงกว่าปกติ ซึ่งมักเกิดขึ้นในชั่วโมงแรกและชั่วโมงสุดท้ายของการซื้อขายในแต่ละวัน โดยช่วงเวลาเหล่านี้มักมีการเข้ามาซื้อขายจากนักลงทุนสถาบันมากขึ้น ราคาผันผวนอย่างมาก และมีสภาพคล่องในตลาดสูง
สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ Power Hour มักอยู่ที่:
Power Hour ตอนเช้า: 9:30 น. – 10:30 น. ตามเวลา EST
Power Hour ตอนบ่าย: 15:00 น. – 16:00 น. ตามเวลา EST (ชั่วโมงสุดท้ายก่อนปิดตลาด)
แม้ช่วงเวลาดังกล่าวจะใช้กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นหลัก แต่รูปแบบที่คล้ายกันนี้ก็สามารถพบได้ในตลาดทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นฟอเร็กซ์ สินค้าโภคภัณฑ์ หรือฟิวเจอร์ส โดยช่วงเวลา “เร่งด่วน” เหล่านี้อาจแตกต่างกันไปตามเวลาเปิด–ปิดของตลาดในแต่ละภูมิภาค
แม้ว่าทั้งสองช่วงจะมีความสำคัญ แต่ทั้งสองช่วงก็มีหน้าที่ที่แตกต่างกันเล็กน้อยในวันเทรด มาเปรียบเทียบกัน:
Power Hour ตอนเช้า (9:30 น. – 10:30 น. EST)
ช่วงเวลานี้คือการเปิดตลาดอย่างเป็นทางการ มักจะมีความวุ่นวายเนื่องจากคำสั่งซื้อขายจากการเทรดช่วงกลางคืนไหลเข้าสู่ตลาดอย่างรวดเร็ว นักเทรดจะติดตามข่าวสาร รายงานผลประกอบการ และความเคลื่อนไหวก่อนเปิดตลาด ความผันผวนมักจะสูงสุดในช่วงเปิดตลาดและเริ่มลดลงเมื่อเวลาผ่านไปถึง 10:30 น.
ช่วงเวลานี้เหมาะสำหรับการเทรดแบบเร็ว (Scalping) การเล่นตามโมเมนตัม และการค้นหาหุ้นที่มีโอกาสเบรคเอาต์จากปริมาณซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในช่วงต้นวัน
Power Hour ตอนบ่าย (15:00 น. – 16:00 น. EST)
ชั่วโมงสุดท้ายของวันเทรดเป็นช่วงเวลาที่เน้นกลยุทธ์มากขึ้น นักลงทุนสถาบันจะสรุปการซื้อขายของตน ขณะที่นักเทรดรายย่อยมักกลับเข้ามาในตลาด หากแนวโน้มโดยรวมของวันเป็นขาขึ้น นักเทรดจำนวนมากอาจเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรในช่วงใกล้ปิดตลาด แต่หากตลาดเป็นขาลง การขายในช่วงท้ายวันอาจทำให้ราคาตกหนักขึ้น
ช่วงเวลานี้ยังเหมาะสำหรับนักเทรดสวิงที่ต้องการหาโอกาสเข้า-ออกตามสัญญาณปิดตลาด ซึ่งมักบ่งบอกถึงทิศทางและความรู้สึกตลาดสำหรับวันถัดไป
Power Hour มีความสำคัญเพราะเป็นช่วงเวลาที่หลายปัจจัยในตลาดมาบรรจบกัน ได้แก่ การซื้อขายของนักลงทุนสถาบัน การรับรู้ข่าวสาร และการจัดพอร์ตลงทุนก่อนปิดตลาด การรวมตัวกันของปัจจัยเหล่านี้สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้นักเทรดมองเห็นรูปแบบราคา โมเมนตัม และสัญญาณกลับตัว
ปริมาณการซื้อขายและความผันผวนที่สูงในช่วงนี้เปิดโอกาสระยะสั้นที่ไม่มีในช่วงเวลาที่ตลาดสงบกลางวัน สำหรับนักเทรดที่ชอบเคลื่อนไหวของราคา เช่น Scalper และ Day Trader Power Hour อาจเป็นช่วงเวลาที่ทำกำไรได้มากที่สุดของวัน
นอกจากนี้ Power Hour ยังเป็นช่วงที่ตลาดแสดงทิศทางของตลาดอีกด้วย เช่น การเบรคเอาต์ การย่อตัว หรือการต่อเนื่องของแนวโน้มใหญ่ ที่เกิดขึ้นบ่อยในช่วงนี้ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพความรู้สึกตลาดและทิศทางราคาที่เป็นไปได้ในวันถัดไป
อย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ หนึ่งในปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนความผันผวนในช่วง Power Hour คือการซื้อขายจากนักลงทุนสถาบัน บริษัทลงทุนขนาดใหญ่ กองทุนเฮดจ์ฟันด์ และกองทุนรวมมักส่งคำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่ในช่วงเปิดและปิดตลาด ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อทิศทางของราคาและปริมาณการซื้อขายในตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ
ในช่วงเช้า นักลงทุนสถาบันจะตอบสนองต่อข่าวสารที่เกิดขึ้นข้ามคืน รายงานผลประกอบการ และความเคลื่อนไหวของตลาดทั่วโลก ขณะที่ในช่วงใกล้ปิดตลาด พวกเขาจะปรับพอร์ตการลงทุนขั้นสุดท้าย ซึ่งมักขึ้นอยู่กับเป้าหมายผลการดำเนินงานในแต่ละวัน หรือกระแสเงินไหลเข้า-ออกของกองทุน
กิจกรรมของนักลงทุนสถาบันเหล่านี้มักก่อให้เกิด “ลูกโซ่” ของแรงเคลื่อนไหวในตลาด ซึ่งนักเทรดรายย่อยและระบบอัลกอริทึมจะตอบสนองตาม ความเข้าใจพฤติกรรมลักษณะนี้จะช่วยให้นักเทรดรายบุคคลสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหว และใช้ประโยชน์จากโมเมนตัมได้อย่างชาญฉลาด
1) เตรียมตัวก่อนตลาดเปิด
ความสำเร็จในช่วง Power Hour เริ่มต้นตั้งแต่การวางแผนก่อนเปิดตลาด ใช้เครื่องมือค้นหาหุ้นที่มีปริมาณซื้อขายล่วงหน้าสูง (pre-market volume scanner), ปฏิทินประกาศผลประกอบการ และข่าวสารสำคัญเพื่อระบุหุ้นหรือสินทรัพย์ที่มีศักยภาพสูง
กำหนดระดับราคาสำคัญแ นวรับ–แนวต้าน และวางแผนรูปแบบการเทรดให้ชัดเจน การมีรายการเฝ้าดู (watchlist) และรู้จุดเข้า–ออกล่วงหน้าจะช่วยลดการตัดสินใจที่เกิดจากอารมณ์เมื่อตลาดเคลื่อนไหวรุนแรง
2) โฟกัสกับการเคลื่อนไหวที่มีปริมาณหนุนหลัง
หนึ่งในตัวชี้วัดที่ดีที่สุดในช่วง Power Hour คือ "ปริมาณซื้อขาย" การพุ่งขึ้นของปริมาญการซื้อขายโดยเฉพาะในระดับเทคนิคที่สำคัญ อาจเป็นสัญญาณของการเข้าซื้อจากนักลงทุนสถาบันและมักเกิดขึ้นก่อนการเบรคเอาต์หรือกลับทิศทางที่แข็งแกร่ง
ควรมองหาการเคลื่อนไหวของราคาที่ได้รับการสนับสนุนจากปริมาณซื้อขาย มากกว่าการไล่ราคาตามความผันผวนแบบไร้ทิศทาง เพราะการยืนยันด้วยปริมาณจะเพิ่มโอกาสความสำเร็จของแนวโน้มต่อเนื่อง
3) ใช้กลยุทธ์ Scalp หรือ Momentum ในช่วงเช้า
ชั่วโมงแรกเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเทรดระยะสั้น นักเทรดมักใช้กลยุทธ์ scalping และการตั้งค่ากราฟ 1 นาที และ 5 นาที เพื่อจับความเคลื่อนไหวของตลาดที่รวดเร็วการตั้งค่าทั่วไปได้แก่:
Gap and Go
Opening Range Breakout
VWAP Reversal
เนื่องจากความผันผวนสูง จึงควรใช้จุดตัดขาดทุนที่เข้มงวด และติดตามความเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างใกล้ชิด
4) ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในชั่วโมงสุดท้าย
ช่วงบ่ายให้เวลาในการพัฒนารูปแบบกราฟมากขึ้น นักเทรดจึงสามารถพึ่งพาแนวรับ–แนวต้าน ระดับชั่วโมง การเบรคเส้นแนวโน้ม และรูปแบบแท่งเทียนเพื่อจับจังหวะการเทรดได้แม่นยำขึ้น
รูปแบบยอดนิยมได้แก่:
Intraday trend continuation
รูปแบบDouble Bottom หรือ Double Top ใกล้แนวรับ–แนวต้าน
Bull Flag/Bear Flag ที่บ่งบอกถึงความแข็งแรงของโมเมนตัม
อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยงจะดีขึ้นเมื่อเทรดจากรูปแบบที่ชัดเจนใกล้เวลาปิดตลาด
ไม่ใช่ทุกตลาดที่ตอบสนองต่อ Power Hour เหมือนกัน ต่อไปนี้คือตลาดที่ได้รับผลกระทบชัดเจนที่สุด:
หุ้น (Stocks)
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการตอบสนองสูงต่อความผันผวนในช่วง Power Hour โดยเฉพาะหุ้นที่มีปริมาณซื้อขายสูง เช่น Apple(AAPL), Tesla(TSLA), และ Nvidia(NVDA) ซึ่งมักเคลื่อนไหวรุนแรงในช่วงนี้ นักเทรดมักโฟกัสที่หุ้นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุดในวันนั้น หรือหุ้นที่เคลื่อนไหวแรงหลังประกาศผลประกอบการ
ดัชนีฟิวเจอร์ส (Index Futures)
ดัชนีฟิวเจอร์ส เช่น S&P 500 E-mini, Nasdaq Futures และ Dow Futures เป็นตลาดยอดนิยมในช่วง Power Hour เพราะมีสภาพคล่องสูงและสเปรดแคบ เครื่องมือเหล่านี้ตอบสนองเร็วต่อการเข้าซื้อขายของสถาบันในช่วงเปิดและปิดตลาด
ฟอเร็กซ์ (Forex)
สำหรับตลาดฟอเร็กซ์ Power Hour มักซ้อนทับกับช่วงตลาดลอนดอน/นิวยอร์ก ซึ่งอยู่ระหว่าง 8:00น.–12:00 น. ตามเวลา EST อย่างไรก็ตาม ช่วง 15:00 – 16:00 น. ก็ยังมีความเคลื่อนไหว โดยเฉพาะเมื่อมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือแถลงการณ์จากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities)
ทองคำ น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติก็เกิดความผันผวนในช่วง Power Hour โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวภูมิรัฐศาสตร์ฉุกเฉินหรือรายงานสินค้าคงคลัง เช่น น้ำมันดิบที่มักมีแรงซื้อขายเพิ่มขึ้นในช่วงชั่วโมงสุดท้ายของวัน
Power Hour อาจดูน่ากลัวสำหรับมือใหม่เนื่องจากความเร็วและความผันผวนสูง อย่างไรก็ตาม หากเข้าถึงด้วยความระมัดระวัง ช่วงเวลานี้สามารถเป็นเวทีฝึกฝนที่ยอดเยี่ยมมือใหม่ควร:
เริ่มต้นด้วยการสังเกตตลาดเป็นเวลาหลายสัปดาห์
ใช้บัญชีทดลอง (Demo) เพื่อฝึกเทรดเสมือนจริง
มุ่งเน้นแค่ 1–2 รูปแบบการเทรดที่ถนัด
ใช้ขนาดคำสั่งเล็กเพื่อลดความเสี่ยง
ด้วยวินัยและเวลา มือใหม่สามารถพัฒนาความมั่นใจและปรับขนาดกลยุทธ์ให้เหมาะกับเป้าหมายที่สูงขึ้นได้
เทรดมากเกินไปเพราะความตื่นเต้น
ช่วง Power Hour เต็มไปด้วยความเร็วและความผันผวน จนทำให้นักเทรดบางคนเผลอเข้าออกรายการบ่อยเกินไปโดยไม่จำเป็น ซึ่งมักนำไปสู่การเทรดที่ไม่มีคุณภาพและขาดทุนในที่สุด ทางที่ดีควรยึดตามแผนที่วางไว้ และไม่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
ไม่ตั้ง Stop-Loss ปล่อยให้ขาดทุนบานปลาย
บางคนหวังว่าราคาจะกลับตัว จึงปล่อยให้ขาดทุนต่อไปโดยไม่ยอมตัดขาดทุนทันที ซึ่งเสี่ยงมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวเร็วอย่าง Power Hour การตั้ง Stop-Loss จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อปกป้องเงินทุนและรักษาวินัยการเทรด
ไล่ซื้อหุ้นที่ดูเหมือนกำลังเบรคเอาต์
ไม่ใช่ทุกครั้งที่ราคาเบรดเอาต์แล้วจะไปต่อ บางครั้งเป็นแค่ “เบรคหลอก” หากเข้าเทรดช้าเกินไป หรือไม่มีปริมาณการซื้อขายสนับสนุน อาจกลายเป็นกับดักได้ ดังนั้น ควรรอให้ราคาย่อกลับมาหรือมีสัญญาณยืนยันก่อนเข้าเทรดจริง
เทรดแบบไม่มีแผนเพราะขาดการเตรียมตัว
ถ้ายังไม่ได้วิเคราะห์หุ้นล่วงหน้า หรือยังไม่มีรายการเฝ้าดูที่ชัดเจน ก็อาจทำให้หลุดโฟกัสและตัดสินใจตามอารมณ์ได้ง่ายในช่วง Power Hour ซึ่งเคลื่อนไหวเร็วมาก การเตรียมตัวล่วงหน้าจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณคว้าโอกาสได้อย่างมีสติและแม่นยำ
Power Hour ถือเป็นช่วงเวลาที่ตลาดมีความเคลื่อนไหวมากที่สุดและเต็มไปด้วยโอกาสในการทำกำไร ไม่ว่าจะเป็นช่วงเปิดตลาดหรือช่วงปิดตลาด 60 นาทีนี้ล้วนขับเคลื่อนด้วยแรงซื้อขายจากนักลงทุนสถาบัน สภาพคล่องที่สูง และปฏิกิริยาทางอารมณ์ของนักเทรด ซึ่งล้วนสามารถนำมาใช้สร้างกำไรได้อย่างรวดเร็ว
การเทรดช่วง Power Hour อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการเตรียมตัว ความรวดเร็ว และวินัย โดยการโฟกัสที่รูปแบบกราฟที่มีปริมาณซื้อขายรองรับ การใช้ระดับราคาทางเทคนิค และการบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม นักเทรดสามารถเปลี่ยนช่วงเวลาที่ผันผวนนี้ให้กลายเป็นโอกาสทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
สำรวจว่ากลยุทธ์การซื้อขาย MACD ช่วยให้ผู้ซื้อขายมีความได้เปรียบที่เชื่อถือได้อย่างไรโดยจับภาพการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมในตลาดฟอเร็กซ์ หุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์
2025-06-24ค้นพบว่า Head and Shoulder Pattern ช่วยให้นักเทรดจับสัญญาณกลับตัวตลาด และเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจในฟอเร็กซ์ หุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ได้อย่างไร
2025-06-24เรียนรู้วิธีคํานวณ Position Size แบบแม่นยำ เพื่อบริหารความเสี่ยงและเพิ่มกำไรในการเทรดฟอเร็กซ์ พร้อมสูตรคำนวณและเทคนิคสำคัญ
2025-06-24