กลยุทธ์การลงทุนยอดนิยมที่นักลงทุนไม่ควรพลาด

2025-08-28
สรุป

ค้นพบกลยุทธ์การลงทุนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน ตั้งแต่มูลค่าและการเติบโตไปจนถึงเงินปันผล โมเมนตัม และธีมต่าง ๆ เพื่อสร้างความมั่งคั่งระยะยาว

ในตลาดปัจจุบัน นักลงทุนต้องเผชิญกับโอกาสและความท้าทายมากมายมหาศาล ทั้งภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ได้เปลี่ยนวิธีคิดของผู้คนในการจัดสรรเงินทุน แม้เครื่องมือและแพลตฟอร์มจะทันสมัย แต่แนวทางพื้นฐานของกลยุทธ์การลงทุนยังคงอิงอยู่บนวิธีที่ผ่านการทดสอบแล้วไม่กี่แบบ ซึ่งแต่ละแบบมีความเสี่ยงผลตอบแทนและผู้ติดตามเฉพาะตัว


บทความนี้จะเจาะลึกกลยุทธ์การลงทุนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาดปัจจุบัน ทำไมกลยุทธ์เหล่านี้จึงดึงดูดความสนใจทั้งนักลงทุนรายย่อย และสถาบันและวิธีการนำไปประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติ


กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า: กลับมาได้รับความนิยมในปี 2025

กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า

กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นมูลค่า (Value Investing) ที่มีชื่อเสียงโดย Benjamin Graham และ Warren Buffett กลับมาอยู่ในสายตานักลงทุนอีกครั้ง โดยเน้นการค้นหาบริษัทที่หุ้นมีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ ซึ่งมักวัดจากตัวชี้วัด เช่น อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ต่ำ งบดุลแข็งแกร่ง หรือกระแสเงินสดที่มั่นคง


ในปี 2025 เหตุผลสำหรับการลงทุนแบบเน้นมูลค่าแข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงสูงและอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยในทศวรรษที่ผ่านมา นักลงทุนจึงกลับมาสนใจธุรกิจที่มั่นคงและสร้างกระแสเงินสดได้ดี หุ้นสหราชอาณาจักร ตัวอย่างเช่น กำลังซื้อขายในระดับต่ำกว่าบริษัทเพื่อนบ้านทั่วโลก ทำให้กองทุนที่เน้นมูลค่ามีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น


แม้การลงทุนแบบเน้นมูลค่าอาจไม่หวือหวา แต่ในยุคเศรษฐกิจผันผวน กลยุทธ์นี้กลับมาได้รับความน่าเชื่อถือในฐานะกลยุทธ์ลงทุนที่มั่นคงและอิงความเชื่อมั่น


กลยุทธ์การลงทุนแบบเติบโต: ยังคงดึงดูดนักลงทุนทะเยอทะยาน


หากนักลงทุนเน้นคุณค่ามองหาหุ้นที่คุ้มค่า นักลงทุนแบบเติบโต (Growth Investing) จะมองหาดาวรุ่งในอนาคต กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นบริษัทที่คาดว่าจะมีรายได้และกำไรเติบโตเหนือค่าเฉลี่ย แม้ว่ามูลค่าปัจจุบันของหุ้นจะดูสูง


บริษัทเทคโนโลยี ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน และนวัตกรรมล้ำสมัย ยังคงเป็นแหล่งดึงดูดเงินทุนแบบเติบโต นักลงทุนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z มีแนวโน้มลงทุนในกลยุทธ์เติบโตอย่างมาก มักเลือกลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่าอสังหาริมทรัพย์แบบดั้งเดิม  ความสนใจในธุรกิจที่เน้นอนาคตนี้สะท้อนถึงทั้งศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนและความชื่นชอบของคนรุ่นใหม่ต่อนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง


การลงทุนแบบเติบโตมีความเสี่ยง มูลค่าอาจลดลงหากผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง แต่ยังคงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนยอดนิยมในตลาดปัจจุบัน


กลยุทธ์การลงทุนแบบปันผลและสร้างรายได้: ผลตอบแทนมั่นคงในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน


กลยุทธ์การลงทุนแบบปันผล (Dividend & Income Investing) เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบรายได้ประจำควบคู่ไปกับการเติบโตของเงินลงทุน กลยุทธ์นี้เน้นหุ้นที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ รวมถึงสินทรัพย์สร้างรายได้ เช่น พันธบัตรหรือกองทรัสต์ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (REITs)


ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ความมั่นคงของกระแสปันผลทำให้กลยุทธ์นี้เป็นที่ชื่นชอบของทั้งผู้เกษียณและนักลงทุนที่หลีกเลี่ยงความเสี่ยง กลยุทธ์นี้ยังได้รับประโยชน์จากการนำปันผลไปลงทุนซ้ำ เพื่อสร้างการเติบโตของทรัพย์สินในระยะยาว


ด้วยเหตุนี้ การลงทุนแบบปันผลจึงถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนที่น่าเชื่อถือที่สุดสำหรับสร้างผลตอบแทนอย่างมั่นคง


กลยุทธ์การลงทุนแบบ Dollar Cost Averaging: ลดความผันผวนทีละน้อย

กลยุทธ์การลงทุนแบบ Dollar Cost Averaging

การจับจังหวะตลาดนั้นเป็นเรื่องยาก ซึ่งทำให้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Dollar Cost Averaging (DCA) ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของนักลงทุนหลายคน ด้วยการลงทุนจำนวนเงินเท่าเดิมเป็นระยะ ๆ นักลงทุนจะซื้อหุ้นมากขึ้นเมื่อราคาต่ำ และซื้อน้อยลงเมื่อราคาสูง ทำให้ความผันผวนของตลาดถูกเฉลี่ยออกไปตามเวลา


วิธีนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เริ่มต้นและนักออมระยะยาว นอกจากนี้ยังช่วยตัดอารมณ์ออกจากการตัดสินใจ ทำให้นักลงทุนยึดตามแผนอย่างมั่นคง แทนที่จะถูกเสียงรบกวนระยะสั้นชักนำ


ในสภาพแวดล้อมที่ผันผวน เช่น ปี 2025 กลยุทธ์ DCA จึงถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนที่ใช้งานได้จริงสำหรับครัวเรือนทั่วไป


กลยุทธ์การลงทุนแบบ Momentum: ขี่เทรนด์ตลาดด้วยวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์


กลยุทธ์การลงทุนแบบ Momentum มีรากฐานจากการเงินพฤติกรรม นักลงทุนมักตอบสนองต่อข่าวสารช้า ทำให้หุ้นที่ขึ้นแล้วอาจยังขึ้นต่อ และหุ้นที่ลงแล้วอาจยังลงต่อ


นักลงทุนแบบ Momentum ใช้ประโยชน์จากแนวโน้มเหล่านี้ โดยซื้อหุ้นที่มีโมเมนตัมขึ้น และขายหุ้นที่ตามหลังตลาด นักลงทุนมักใช้อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หรือดัชนี RSI ในการจับจังหวะเข้าซื้อและขาย


แม้ Momentum จะมีความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดกลับตัวอย่างรุนแรง แต่ยังคงมีผู้ติดตามจำนวนมาก เนื่องจากมีหลักฐานทางวิชาการรองรับ และสามารถสร้างผลตอบแทนสูงในตลาดที่มีเทรนด์ชัดเจน


กลยุทธ์การลงทุนแบบสวนกระแส  (Contrarian): ว่ายน้ำสวนกระแส


กลยุทธ์การลงทุนแบบสวนกระแสต้องอาศัยความกล้าหาญ แทนที่จะเดินตามกระแส นักลงทุนแบบสวนกระแสกลับจงใจมองหาโอกาสที่คนอื่นมองเห็นแต่ความเสี่ยง โดยซื้อเมื่อตลาดตื่นตระหนก และขายเมื่อตลาดคึกคัก


วิธีนี้สร้างผลตอบแทนสูงในวิกฤติที่ผ่านมา ผู้ที่กล้าซื้อสินทรัพย์ราคาต่ำสุดมักได้รับผลตอบแทนเมื่อความเชื่อมั่นกลับมา อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้ต้องมีวินัย ความอดทน และสามารถทนต่อช่วงเวลาที่ไม่เป็นที่นิยมได้


ในปี 2025 นักลงทุนที่สวนทางกำลังจับตาตลาดที่ถูกมองข้าม เช่น เศรษฐกิจเกิดใหม่และอุตสาหกรรมหมุนเวียนที่ยังไม่ได้รับความนิยม


กลยุทธ์การลงทุนตามธีมและ ESG: สอดคล้องจุดมุ่งหมายกับผลกำไร


อีกหนึ่งแนวทางที่เติบโตอย่างรวดเร็วคือกลยุทธ์การลงทุนแบบตามธีมและ ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) นักลงทุนจะมุ่งเน้นไปที่แนวโน้มภาพรวม เช่น พลังงานหมุนเวียน ปัญญาประดิษฐ์ หรือกลุ่มผู้สูงอายุ หรือเลือกบริษัทที่เน้นความยั่งยืนและแนวปฏิบัติทางจริยธรรม


สำหรับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Millennials และ Gen Z กลยุทธ์เชิงธีมและ ESG ช่วยให้นักลงทุนสามารถสอดคล้องพอร์ตลงทุนกับค่านิยมส่วนตัว พร้อมกับยังสร้างผลตอบแทนได้ ด้วยข้อกำหนดด้านกฎระเบียบและความต้องการผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น กลยุทธ์นี้คาดว่าจะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการลงทุนในอนาคต


กลยุทธ์การจัดสรรสินทรัพย์และกระจายการลงทุน: รากฐานแห่งความมั่นคง

กลยุทธ์การจัดสรรสินทรัพย์และกระจายการลงทุน

ไม่ว่าคุณจะมีสไตล์การลงทุนแบบใด นักลงทุนมืออาชีพเกือบทั้งหมดต่างเน้นย้ำเรื่องการกระจายการลงทุนเป็นกลยุทธ์หลัก ด้วยการกระจายเงินลงทุนไปในหุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดโลก นักลงทุนสามารถลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาภาคหรือภูมิภาคใดเพียงอย่างเดียว


กลยุทธ์การจัดสรรสินทรัพย์เกี่ยวข้องกับการหาสมดุลที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเป้าหมายทางการเงินของแต่ละบุคคล ในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน พอร์ตที่หลากหลายจะมีความยืดหยุ่นมากกว่าและให้ความมั่นคงมากกว่าการลงทุนแบบรวมศูนย์


กลยุทธ์การปรับสมดุลพอร์ต: รักษาพอร์ตให้อยู่ในจังหวะที่เหมาะสม


แม้แต่พอร์ตที่ดีที่สุดก็อาจเบี่ยงออกจากสัดส่วนเดิมเมื่อราคาตลาดเคลื่อนไหว กลยุทธ์การปรับสมดุลพอร์ต จึงช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับสัดส่วนสินทรัพย์กลับไปตามน้ำหนักที่ตั้งไว้


ตัวอย่างเช่น หากหุ้นปรับตัวสูงขึ้น หุ้นอาจกลายเป็นสัดส่วนใหญ่เกินกว่าที่ตั้งใจไว้ การปรับสมดุล ไม่ว่าจะตามปฏิทินหรือเมื่อถึงเกณฑ์ที่กำหนด จะช่วยคืนสมดุล ควบคุมความเสี่ยง และรักษาวินัย


แม้ว่ากลยุทธ์นี้จะเรียบง่าย แต่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยเสริมความมั่นคงระยะยาว


กลยุทธ์การลงทุนแบบ Robo-Advised: อัตโนมัติด้วยการจัดพอร์ตอัจฉริยะ


ในยุคดิจิทัล กลยุทธ์การลงทุนแบบ Robo-Advised ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยอาศัยอัลกอริทึมสร้างและบริหารพอร์ตตามความเสี่ยงและเป้าหมายของนักลงทุน บริการเหล่านี้ใช้หลักการกระจายการลงทุน มักรวม ETF ที่มีต้นทุนต่ำ และปรับสมดุลพอร์ตให้อัตโนมัติเมื่อจำเป็น


ด้วยมูลค่าการจัดการสินทรัพย์มากกว่าหนึ่งล้านล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก Robo-advisors จึงเป็นเทรนด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะนักลงทุนที่คล่องแคล่วด้านเทคโนโลยี ต้องการความเรียบง่ายและประหยัดค่าใช้จ่ายโดยไม่ละเลยความเข้มงวดทางกลยุทธ์


บทสรุป: เลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมเลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม

นักลงทุนยุคใหม่มีทางเลือกมากมายกว่าที่เคย ไม่ว่าจะเลือกลงทุนด้วยวินัยด้านมูลค่า ความมุ่งมั่นในการเติบโต ความมั่นคงของเงินปันผล หรือความเชื่อมั่นในแนวคิด สิ่งสำคัญคือการเลือกกลยุทธ์การลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมายส่วนบุคคล การยอมรับความเสี่ยง และกรอบเวลา


ที่สำคัญ กลยุทธ์เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกัน พอร์ตการลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดหลายพอร์ตผสมผสานแนวทางต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โดยใช้การกระจายความเสี่ยง การปรับสมดุล และการทำงานอัตโนมัติเป็นพื้นฐาน จากนั้นจึงเพิ่มองค์ประกอบต่างๆ เช่น โมเมนตัม ความขัดแย้ง หรือแนวคิดที่เน้นความแปลกใหม่เข้าไปเพื่อเพิ่มอรรถรส


ในตลาดปัจจุบัน กลยุทธ์การลงทุนยอดนิยมยังคงอยู่เพราะสามารถผสมผสานจิตวิทยามนุษย์ พื้นฐานการเงิน และกระบวนการที่มีวินัย ศิลปะของการลงทุนไม่ได้อยู่แค่การเลือกกลยุทธ์ แต่รวมถึงการยึดมั่นและดำเนินตามกลยุทธ์นั้นผ่านความขึ้นลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)


1. กลยุทธ์การลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับมือใหม่คืออะไร?

สำหรับมือใหม่ วิธีที่เรียบง่ายและได้ผลคือกลยุทธ์ Dollar Cost Averaging (DCA) ซึ่งมักผสมผสานกับการกระจายการลงทุนผ่านกองทุนดัชนีหรือ ETF วิธีนี้ช่วยลดความผันผวนของตลาดและความเสี่ยงจากการลงทุนในจังหวะที่ไม่เหมาะสม ทำให้สร้างความมั่งคั่งอย่างมั่นคงได้ง่ายขึ้น


2. สามารถใช้กลยุทธ์การลงทุนหลายแบบพร้อมกันได้หรือไม่?

ได้ นักลงทุนหลายคนมักผสมผสานหลายกลยุทธ์ เช่น ถือพอร์ตหลักที่กระจายความเสี่ยงในหุ้นปันผลและหุ้นเติบโต พร้อมจัดสรรส่วนน้อยไปยังกลยุทธ์แบบธีมหรือ Momentum สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าแต่ละกลยุทธ์สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินและความเสี่ยงที่ยอมรับได้


3. กลยุทธ์การลงทุนแบบใดปลอดภัยที่สุด?

ไม่มีกลยุทธ์ใดปลอดความเสี่ยง 100% แต่การลงทุนแบบปันผลและการจัดสรรสินทรัพย์อย่างหลากหลาย มักถือว่าเป็นวิธีที่น่าเชื่อถือที่สุด เน้นความมั่นคงและรายได้ พร้อมลดการรับผลกระทบจากความผันผวนของหุ้นหรือภาคใดภาคหนึ่ง


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

วันเผยแพร่ดัชนี CPI ทั่วโลกปี 2025 ครบทุกตลาด

วันเผยแพร่ดัชนี CPI ทั่วโลกปี 2025 ครบทุกตลาด

สำรวจปฏิทินการประกาศดัชนี CPI ทั่วโลกปี 2025 พร้อมก้าวนำหน้าข้อมูลเงินเฟ้อ และค้นหาโอกาสการเทรดในตลาดสำคัญต่าง ๆ

2025-08-28
5 กลยุทธ์การ เทรด CFD ที่เทรดเดอร์ทุกคนควรรู้

5 กลยุทธ์การ เทรด CFD ที่เทรดเดอร์ทุกคนควรรู้

เรียนรู้กลยุทธ์การ เทรด CFD 5 ประการ ได้แก่ Scalping, Day Trading, Swing Trading, การป้องกันความเสี่ยง และการเทรดแบบเบรกเอาต์ เพื่อช่วยจัดการความเสี่ยงและมุ่งสู่การทำกำไร

2025-08-28
กลยุทธ์จัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนใน Forex

กลยุทธ์จัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนใน Forex

เรียนรู้วิธีจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในการเทรด Forex ด้วยกลยุทธ์ที่สร้างสมดุลระหว่างโอกาส ความผันผวน และการดำเนินการอย่างมีวินัย

2025-08-28