จับจังหวะรูปแบบ Bump and Run Reversal อย่างมือโปร!

2025-07-31

เมื่อการเคลื่อนไหวของราคาเร่งตัวขึ้นอย่างรุนแรงเกินกว่าจะยั่งยืนได้ มักตามมาด้วยการกลับตัวอย่างเฉียบพลัน รูปแบบ Bump and Run Reversal (BARR) ซึ่งถูกบันทึกไว้ครั้งแรกโดยผู้เชี่ยวชาญด้านรูปแบบกราฟชื่อ Thomas Bulkowski เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นสัญญาณการกลับตัวได้อย่างชัดเจน


รูปแบบนี้ระบุได้จากแนวโน้มที่อยู่ดี ๆ ก็ “กระชากตัว” ขึ้น (หรือดิ่งลง) อย่างรวดเร็วเกินกว่าจังหวะเดิม จากนั้นราคา “วิ่งกลับ” ลงมาทะลุแนวโน้มก่อนหน้าซึ่งเป็นสัญญาณกลับตัวที่มีความน่าจะเป็นสูง


ในบทความนี้ เราจะอธิบายความหมายของรูปแบบ BARR แยกเป็น 3 ระยะอย่างชัดเจน พร้อมแนวทางการเทรดเชิงกลยุทธ์ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับหลากหลายตลาด


รูปแบบ Bump and Run Reversal (BARR) คืออะไร?

รูปแบบ Bump and Run Reversal

รูปแบบ Bump and Run Reversal Pattern (BARR) เป็นรูปแบบกราฟที่มีโครงสร้างชัดเจน ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ราคาถูกผลักดันด้วยการเก็งกำไรอย่างรุนแรงจนเกินระดับที่ยั่งยืนได้ โดยเดิมทีถูกเรียกว่า Bump and Run Formation (BARF) ก่อนจะเปลี่ยนชื่อให้เหมาะกับตลาดมากขึ้นในภายหลัง รูปแบบนี้ประกอบด้วย 3 ระยะสำคัญ ได้แก่:

  • ระยะนำ (Lead-In Phase): แนวโน้มเริ่มต้นค่อย ๆ พัฒนาในทิศทางเดิม

  • ระยะแรงกระชาก (Bump Phase): ราคาพุ่งเร็วผิดปกติจากแนวโน้มเดิม

  • ระยะกลับตัว (Run Phase): ราคาทะลุเส้นแนวโน้มและกลับทิศทางแนวโน้ม


งานวิจัยของ Thomas Bulkowski ชี้ว่ารูปแบบนี้เป็นหนึ่งในรูปแบบการกลับตัวที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในหลายการศึกษาวิเคราะห์ เทรดเดอร์สามารถใช้ BARR ได้ในหลากหลายสินทรัพย์ เช่น หุ้น ค่าเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนีต่าง ๆ


รูปแบบ Bump and Run ขาขึ้น vs ขาลง


  • Bump and Run แบบขาลง (Bearish): เกิดหลังแนวโน้มขาขึ้น ราคากระชากขึ้นอย่างรุนแรง ก่อนทะลุแนวโน้มลงมาและพลิกกลับเป็นขาลง

  • Bump and Run แบบขาขึ้น (Bullish): เกิดหลังแนวโน้มขาลง ราคาดิ่งลงอย่างรุนแรง แล้วฟื้นตัวทะลุแนวโน้มเดิมกลายเป็นขาขึ้น


ทำความเข้าใจกับ 3 ระยะของ BARR

ทำความเข้าใจกับ 3 ระยะของ BARR


1. ระยะนำ (Lead-In Phase)

เป็นแนวโน้มช่วงเริ่มต้น โดยมีมุมลาดประมาณ 30°–45° ขึ้นหรือลง ขึ้นอยู่กับประเภทของรูปแบบ (ขาขึ้น/ขาลง) ปริมาณการซื้อขายในช่วงนี้จะคงที่หรือต่ำ


2. ระยะแรงกระชาก (Bump Phase)

ราคาพุ่งขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว มุมลาดของราคาจะชันกว่าระยะนำอย่างน้อย 50% และจุดสูงสุดของ Bump ต้องสูงกว่าแนวโน้มเดิมอย่างน้อย 2 เท่า ปริมาณการซื้อขายมักจะพุ่งขึ้นในช่วงนี้


3. ระยะกลับตัว (Run Phase)

หลังจากเกิด Bump แล้วราคาจะถอยกลับลงมาทดสอบและทะลุแนวโน้มเดิม เป็นจุดเริ่มต้นของ “Run” ซึ่งเป็นระยะที่เทรดเดอร์สามารถเข้าเปิดสถานะได้ บางครั้งราคาอาจย้อนกลับมาทดสอบแนวโน้มเดิมอีกครั้งก่อนยืนยันการกลับตัว


วิธีระบุรูปแบบ Bump and Run ที่ถูกต้อง


มุมของเส้นแนวโน้ม

แนวโน้มเริ่มต้นควรมีมุม 30°–45° และ Bump ควรชันขึ้นถึง 45°–60°


สัดส่วนของความสูง

วัดระยะทางแนวดิ่งระหว่างยอด Bump กับเส้นแนวโน้ม (S2) ต้องมากเป็น 2 เท่าของระยะก่อนเกิด Bump (S1)


การยืนยันปริมาณ

ปริมาณการซื้อขายควรพุ่งขึ้นในช่วง Bump และลดลงในช่วงนำ หากมีปริมาณสูงในจังหวะเบรกเอาต์จะยิ่งยืนยันรูปแบบได้ชัดเจน


การทะลุเส้นแนวโน้ม

การเบรกทะลุเส้นแนวโน้มในช่วง Run เป็นสัญญาณยืนยันการกลับตัวอย่างแท้จริง


กลยุทธ์การเทรดด้วยรูปแบบ Bump and Run Reversal

กลยุทธ์การเทรดด้วยรูปแบบ Bump and Run Reversal

จุดเข้า

  • ขาลง: เปิดสถานะ Short ทันทีหลังราคาทะลุแนวโน้มขึ้น

  • ขาขึ้น: เข้าซื้อหลังจากราคาทะลุแนวโน้มขาลง

  • การยืนยันด้วยแท่งเทียนกลับตัว: เทรดเดอร์บางคนรอให้ราคากลับมาทดสอบแนวโน้มที่ถูกเบรกก่อน แล้วค่อยเปิดสถานะเมื่อมีสัญญาณแท่งเทียนกลับตัว


การตั้งจุด Stop-Loss

แนะนำให้ตั้ง Stop-Loss ไว้กลางระหว่างจุดสูงสุดของ Bump กับจุดที่ราคาเบรกแนวโน้มเพื่อรองรับความผันผวน


การตั้งเป้าหมายกำไร

ใช้จุดแนวรับ/แนวต้านเดิม ระดับ Fibonacci หรือวิเคราะห์จากโครงสร้างราคาที่ต่อเนื่อง


อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง

กลยุทธ์นี้มักให้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่ดี โดยทั่วไปควรตั้งเป้าอย่างน้อย 2 เท่าของความเสี่ย ง(2R)


ข้อดีและข้อจำกัด


ข้อดี

  • มีโครงสร้างชัดเจน ยืนยันด้วยปัจจัยเทคนิค

  • เป็นสัญญาณกลับตัวที่มีโอกาสสำเร็จสูงจากการวิจัย

  • ให้ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่น่าสนใจ

  • ใช้ได้กับหลายตลาดและทุกช่วงเวลา (รายวัน/รายสัปดาห์/รายชั่วโมง)

  • เตือนถึงภาวะเก็งกำไรเกินเหตุและพฤติกรรมของสถาบัน


ข้อจำกัด

  • เกิดไม่บ่อยนัก จึงหาโอกาสเทรดยาก

  • การตีความรูปแบบขึ้นกับมุมมองของแต่ละคน

  • อาจเกิดสัญญาณหลอก หากไม่มีการยืนยันจากปริมาณการซื้อขาย

  • ก่อตัวช้าไม่เหมาะกับกลยุทธ์ที่ต้องใช้ความเร็วสูง เช่น Scalping

  • ต้องใช้อินดิเคเตอร์เพิ่มเติม เช่น ADX หรือ RSI เพื่อเพิ่มความแม่นยำ


ตลาดและช่วงเวลาเหมาะสมสำหรับการใช้รูปแบบ BARR


จากงานวิจัยต้นฉบับของ Thomas Bulkowski พบว่ารูปแบบ Bump and Run Reversal (BARR) มีอัตราความสำเร็จเฉลี่ยประมาณ 68% และสามารถเพิ่มขึ้นเป็น 75–90% เมื่อมีการยืนยันด้วยปริมาณการซื้อขาย (Volume) และเครื่องมือวัดแนวโน้ม เช่น ADX โดย Bulkowski เน้นย้ำความสำคัญของการประเมิน “ขนาดของ Bump” และการจัดแนวของเส้นแนวโน้มที่แม่นยำ


ผลการศึกษาชี้ว่า:

  • กราฟรายวัน (Daily chart) และกราฟรายสัปดาห์ (Weekly chart) ให้สัญญาณที่น่าเชื่อถือที่สุด

  • กราฟระหว่างวัน (Intraday) อาจพบรูปแบบ BARR ได้เช่นกัน แต่ต้องใช้วินัยและความแม่นยำสูงกว่า

  • ใช้ได้ดีกับสินทรัพย์หลายประเภท เช่น หุ้น ฟอเร็กซ์ สินค้าโภคภัณฑ์ และคริปโต โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่แนวโน้มยืดยาวแล้วเกิดแรงเก็งกำไรรุนแรงอย่างฉับพลัน


เครื่องมือยืนยันเพิ่มเติม ได้แก่:

  • ADX (Average Directional Index): ยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มและความน่าเชื่อถือของการเบรกแนวโน้ม

  • RSI หรือ MACD Divergence: สนับสนุนการหมดแรงของราคาในช่วง Bump และยืนยันโอกาสการกลับตัว

  • Fibonacci Retracement: ช่วยกำหนดเป้าหมายหลังการเบรก และจุดที่ราคาอาจกลับมาทดสอบ

  • ปริมาณซื้อขาย: ยืนยันความถูกต้องของรูปแบบ โดยดูจากปริมาณซื้อขายที่พุ่งขึ้นในช่วง Bump และ Breakout


สรุป


รูปแบบ Bump and Run Reversal เป็นเครื่องมือที่ละเอียดอ่อนแต่ทรงพลังในการตรวจจับการกลับตัวของแนวโน้ม ซึ่งมักเกิดจากแรงเก็งกำไรเกินควร ด้วยโครงสร้างที่ชัดเจน และข้อมูลสนับสนุนจากงานวิจัยของ Bulkowski รูปแบบนี้จึงเป็นแนวทางที่มีวินัยในการเทรดที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในตลาดต่าง ๆ


แม้จะเกิดไม่บ่อยนัก แต่ความชัดเจนของรูปแบบ เกณฑ์การยืนยันที่รัดกุม และโครงสร้างการจัดการความเสี่ยงที่ดี ทำให้ BARR เป็นรูปแบบที่มี “โอกาสสำเร็จสูง” เมื่อใช้อย่างถูกวิธี ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายและอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ พร้อมรักษาวินัยในการบริหารความเสี่ยงเสมอ


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
จับจังหวะเทรดรูปแบบ Broadening Formation อย่างมือโปร
จับจังหวะเข้าออกด้วยแท่งเทียน Morning Star
กลยุทธ์เทรดระยะสั้น จับจังหวะทำกำไรอย่างรวดเร็ว
McClellan Oscillator: เครื่องมือจับจังหวะตลาดใหม่ของคุณใช่หรือไม่?
XABCD Pattern จับจังหวะตลาด ทำกำไรแบบ Harmonic