สำรวจประเภทของเลเวอเรจในการเทรด วิธีการทำงานของแต่ละประเภท และสิ่งที่ควรพิจารณาก่อนนำเลเวอเรจมาใช้ในกลยุทธ์การลงทุนของคุณ
ในการเทรดเลเวอเรจหมายถึงการใช้เงินทุนที่ยืมมาเพื่อเพิ่มขนาดของสถานะการลงทุนให้มากกว่าที่เงินทุนของตนเองจะรองรับได้ตามปกติ เลเวอเรจเปิดโอกาสให้เทรดเดอร์สามารถเข้าถึงตลาดได้มากขึ้น โดยใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียงเล็กน้อย ข้อได้เปรียบหลักของเลเวอเรจคือโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน
ก่อนจะลงลึกในประเภทต่าง ๆ ของเลเวอเรจในการเทรด สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่า เลเวอเรจสามารถขยายผลกำไรได้ก็จริง แต่ก็สามารถขยายความสูญเสียได้เช่นเดียวกัน ด้วยลักษณะสองด้านนี้ เลเวอเรจจึงเป็นเครื่องมือที่ทั้งทรงพลังและมีความเสี่ยงในเวลาเดียวกันสำหรับเทรดเดอร์
เลเวอเรจถือเป็นหัวใจสำคัญของทั้งการเงินแบบดั้งเดิมและการเทรด เพราะช่วยให้นักลงทุนรายบุคคลหรือสถาบันสามารถเข้าถึงสถานะการลงทุนที่เกินกว่าทุนที่มีอยู่ได้ ยกตัวอย่างเช่น หากมีเลเวอเรจ 10:1 เทรดเดอร์สามารถควบคุมสถานะมูลค่า £10,000 ได้ด้วยเงินทุนของตนเองเพียง £1,000 ส่วนที่เหลืออีก £9,000 ยืมมาจากโบรกเกอร์หรือสถาบันการเงิน
การเข้าใจประเภทของเลเวอเรจจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะตัว ระดับความเสี่ยง และข้อกำหนดทางกฎหมายที่แตกต่างกัน หากเลือกผิดประเภทหรือใช้อย่างไม่เหมาะสม อาจนำไปสู่การขาดทุนอย่างรุนแรง
1) เลเวอเรจแบบมาร์จิ้น (Margin Leverage)
เป็นประเภทที่พบบ่อยที่สุดในหมู่เทรดเดอร์รายย่อย เมื่อเปิดสถานะที่ใช้เลเวอเรจในแพลตฟอร์มการเทรด เทรดเดอร์กำลังใช้ “มาร์จิ้น” หมายถึงการวางเงินประกันเพียงส่วนหนึ่งของมูลค่าการเทรด และยืมส่วนที่เหลือจากโบรกเกอร์
เลเวอเรจแบบมาร์จิ้นนิยมใช้ในตลาดฟอเร็กซ์ CFD และสินค้าโภคภัณฑ์ โดยอัตราเลเวอเรจจะบอกถึงขนาดของการเปิดสถานะเทียบกับเงินประกันที่วางไว้ แม้จะเปิดสถานะขนาดใหญ่ได้ด้วยเงินทุนจำนวนน้อย แต่ต้องบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเรียกมาร์จิ้นเพิ่มหรือถูกบังคับปิดสถานะ
2) เลเวอเรจทางการเงิน (Financial Leverage)
เลเวอเรจประเภทนี้หมายถึงการใช้หนี้สินของบริษัทหรือของนักลงทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทน ตัวอย่างเช่น บริษัทอาจกู้ยืมเงินเพื่อขยายธุรกิจหรือซื้อสินทรัพย์ โดยหวังว่าผลตอบแทนที่ได้จะมากกว่าต้นทุนดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
ในมุมของการลงทุนในหุ้น นักลงทุนมักประเมินเลเวอเรจทางการเงินของบริษัทเพื่อดูว่าบริษัทใช้หนี้เชิงรุกมากเพียงใด หากภาวะตลาดเอื้ออำนวยเ ลเวอเรจนี้สามารถเพิ่มผลกำไรได้อย่างมาก แต่ในช่วงขาลง ก็สามารถขยายความเสี่ยงได้เช่นกัน
3) เลเวอเรจเชิงปฏิบัติการ (Operational Leverage)
เป็นแนวคิดในเชิงวิเคราะห์งบการเงินของบริษัท โดยดูจากโครงสร้างต้นทุนของบริษัท โดยเฉพาะสัดส่วนของต้นทุนคงที่เทียบกับต้นทุนผันแปร หากบริษัทมีต้นทุนคงที่สูง รายได้ที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้กำไรเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
แม้เทรดเดอร์จะไม่ใช้เลเวอเรจประเภทนี้โดยตรงในการเทรด แต่เลเวอเรจเชิงปฏิบัติการมีผลต่อความแข็งแกร่งทางการเงินและความเสี่ยงของบริษัท หุ้นของบริษัทที่มีเลเวอเรจลักษณะนี้สูง มักมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ซึ่งควรคำนึงถึงเมื่อตัดสินใจลงทุน
4) เลเวอเรจแฝง (Embedded Leverage)
เลเวอเรจประเภทนี้ฝังอยู่ในผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางชนิด เช่น ETF แบบมีเลเวอเรจ ออปชัน และฟิวเจอร์ส โดยให้การเปิดรับตลาดในระดับขยายโดยไม่ต้องยืมเงินด้วยตนเอง
อย่างไรก็ตาม เลเวอเรจแฝงอาจสร้างความเข้าใจผิด โดยเฉพาะในกลุ่มเทรดเดอร์มือใหม่ เช่น ETF ที่มีเลเวอเรจ 2 เท่า มีเป้าหมายเพิ่มผลตอบแทนรายวันเป็น 2 เท่าของดัชนีอ้างอิง แต่ในระยะยาว ผลตอบแทนจริงอาจไม่เป็นไปตามคาดเนื่องจากผลของความผันผวนและการทบต้น การเข้าใจความเสี่ยงของเลเวอเรจประเภทนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น
เลเวอเรจแต่ละประเภทอยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนรายย่อย ในสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป หน่วยงาน เช่น FCA และ ESMA ได้กำหนดขีดจำกัดของเลเวอเรจเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่มากเกินไป ซึ่งมักขึ้นอยู่กับความผันผวนของสินทรัพย์ที่เทรด เช่น สกุลเงินดิจิทัลจะมีขีดจำกัดที่เข้มงวดกว่า
สำหรับนักลงทุนสถาบัน แม้อาจสามารถเข้าถึงเลเวอเรจในระดับสูงกว่า แต่ก็คาดหวังให้มีความรู้ความเข้าใจและความสามารถในการบริหารความเสี่ยงอย่างมืออาชีพ ดังนั้นจึงควรศึกษาเงื่อนไขและข้อจำกัดที่โบรกเกอร์หรือกฎหมายในแต่ละเขตกำหนดไว้ให้ชัดเจน
ประเภทของเลเวอเรจที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับเป้าหมายการเทรด สินทรัพย์ที่ลงทุน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และประสบการณ์ของผู้เทรด เช่น เทรดเดอร์สายเก็งกำไรในระยะสั้นอาจเลือกใช้เลเวอเรจแบบมาร์จิ้น ส่วนผู้ลงทุนระยะยาวอาจให้ความสำคัญกับเลเวอเรจทางการเงินหรือเชิงปฏิบัติการของบริษัท
ไม่ว่าจะเลือกวิธีใด การเข้าใจว่าประเภทต่าง ๆ ของเลเวอเรจส่งผลต่อผลตอบแทนและความเสี่ยงอย่างไร จะช่วยให้สามารถวางกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การทำความเข้าใจประเภทของเลเวอเรจในการเทรดถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มผลตอบแทนภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่รอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นเลเวอเรจแบบมาร์จิ้น ทางการเงิน เชิงปฏิบัติการ หรือเลเวอเรจแฝง แต่ละประเภทล้วนมีข้อดี ความเสี่ยง และข้อจำกัดที่แตกต่างกัน
หากใช้เลเวอเรจโดยขาดความเข้าใจ อาจนำไปสู่การขาดทุนอย่างรวดเร็ว แต่หากใช้ด้วยความระมัดระวังและมีความรู้ เลเวอเรจก็สามารถช่วยเสริมประสิทธิภาพในการเทรดและเปิดโอกาสใหม่ ๆ ได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยการเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าเลเวอเรจแต่ละประเภททำงานอย่างไรและเหมาะกับสถานการณ์ใด คุณจะสามารถเทรดได้ด้วยความมั่นใจและควบคุมความเสี่ยงได้ดีขึ้น
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
หลังจากราคาหุ้นพุ่งขึ้น 188% นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่าหุ้น Opendoor จะเป็นอย่างไรต่อไป มาดูกันว่าควรซื้อ ถือ หรือขาย ท่ามกลางความผันผวนของตลาดในปัจจุบัน
2025-07-21เข้าใจรูปแบบการเทรด VCP ด้วยคู่มือสำหรับมือใหม่ฉบับนี้ เรียนรู้วิธีเทรดตามรูปแบบ Volatility Contraction Pattern เพื่อโอกาสทำกำไรอย่างมหาศาล
2025-07-21เจาะลึก หุ้น NVDA Nvidia คือบริษัทอะไร? ราคาหุ้นล่าสุดเท่าไหร่ และนักวิเคราะห์มีมุมมองต่ออนาคตหุ้นยังไงบ้าง พร้อมเปิดข้อมูลธุรกิจมีสินค้าอะไรที่น่าสนใจ
2025-07-21