简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

Margin Trading คืออะไร? เข้าใจง่ายในภาษาคนลงทุน

เผยแพร่เมื่อ: 2025-07-14    อัปเดตเมื่อ: 2025-07-15

โดยพื้นฐานแล้ว Margin Trading คือการยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อนำไปซื้อสินทรัพย์ในปริมาณที่มากกว่าที่คุณจะสามารถซื้อได้ด้วยเงินทุนของตัวเองเพียงอย่างเดียว เงินที่ยืมมานี้ทำให้คุณสามารถเปิดสถานะในตลาดได้ใหญ่ขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนมากขึ้นด้วย


การลงทุนในบัญชีเทรดทั่วไป คุณสามารถเทรดได้เฉพาะเงินที่คุณฝากไว้เท่านั้น แต่ถ้าใช้บัญชีมาร์จิ้น โบรกเกอร์จะให้คุณใช้ “Leverage” หรือเงินทุนเพิ่มเติมจากการกู้ยืม ซึ่งทำให้คุณสามารถเทรดในปริมาณที่มากกว่าจำนวนเงินจริงของคุณ อย่างไรก็ตาม นั่นก็หมายความว่าคุณอาจต้องรับความเสี่ยงในการขาดทุนมากกว่าทุนที่คุณใส่ไว้ตอนแรก และอาจถึงขั้นต้องใช้เงินชดเชยเพิ่มเติมหากขาดทุนเกินวงเงินนั้น


Margin Trading ทำงานอย่างไร?

Margin Trading ทำงานอย่างไร?

ลองนึกภาพว่าคุณมีเงิน 1,000 ดอลลาร์ และอยากซื้อหุ้นที่ราคาหุ้นละ 100 ดอลลาร์ ถ้าไม่ใช้มาร์จิ้น คุณก็ซื้อได้แค่ 10 หุ้นเท่านั้น แต่ถ้าใช้มาร์จิ้นในอัตรา 2:1 โบรกเกอร์จะช่วยยืมเงินเพิ่มอีก 1,000 ดอลลาร์ ทำให้คุณซื้อได้ถึง 20 หุ้น ถ้าราคาหุ้นขึ้น กำไรของคุณก็จะเพิ่มเป็นสองเท่า แต่ถ้าราคาหุ้นลดลง การขาดทุนก็จะเพิ่มเป็นสองเท่าเหมือนกัน นี่แหละคือจุดที่การเทรดแบบมาร์จิ้นทำให้ผลลัพธ์ทั้งกำไรและขาดทุนถูกขยายมากขึ้น


แต่อย่าลืมว่าเงินที่คุณยืมมาไม่ได้ฟรี โบรกเกอร์จะคิดดอกเบี้ยจากเงินที่ยืม ซึ่งดอกเบี้ยนี้อาจทำให้กำไรของคุณน้อยลง หรือถ้าขาดทุนก็จะมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น เมื่อพูดถึงการเทรดแบบมาร์จิ้น ไม่ใช่แค่เรื่องการเพิ่มโอกาสลงทุน แต่ยังหมายถึงการรับความเสี่ยงและต้นทุนที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน


ทำไมนักเทรดถึงใช้มาร์จิ้น?


นักเทรดหลายคนใช้มาร์จิ้นเพื่อเพิ่มกำลังซื้อ ทำให้มีโอกาสสร้างกำไรจากเงินลงทุนได้มากขึ้น โดยเฉพาะการเทรดระยะสั้นที่ราคาขยับเร็ว ๆ การใช้มาร์จิ้นช่วยให้เปิดสถานะใหญ่ขึ้น และทำกำไรได้มากขึ้น เป้าหมายของการเทรดแบบมาร์จิ้นคือการขยายผลตอบแทนด้วยเงินที่ยืมมา


เช่น นักเทรดรายวัน หรือเทรดแบบสวิง มักใช้มาร์จิ้นเพื่อเปิดและปิดสถานะบ่อย ๆ หวังกำไรจากความผันผวนของราคาที่เกิดขึ้นในระยะสั้น โดยไม่ต้องมีเงินทุนเต็มจำนวนตั้งแต่แรก


ความเสี่ยงของ Margin Trading


การใช้มาร์จิ้นก็มีความเสี่ยงสูง เพราะถ้าตลาดขยับสวนทางกับตำแหน่งที่คุณถืออยู่ คุณอาจถูกโบรกเกอร์เรียกเงินเพิ่ม (Margin Call) เพื่อรักษาตำแหน่ง หากไม่เติมเงินตามกำหนดตำแหน่งของคุณอาจถูกปิดโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันการขาดทุนที่มากเกินไป


นอกจากนี้ ตลาดที่ผันผวนมาก ๆ อาจทำให้ขาดทุนรวดเร็ว แม้ราคาเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็ส่งผลขาดทุนหนักได้ เพราะการเทรดแบบมาร์จิ้นคือการลงทุนด้วยเงินกู้ ซึ่งไม่เหมาะกับทุกคนจำเป็นต้องติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด มีการบริหารความเสี่ยงที่ดี และเข้าใจอย่างชัดเจนว่าคุณเสี่ยงเท่าไหร่เมื่อเทียบกับขนาดบัญชีของตัวเอง


อะไรทำให้เกิด Margin Call?

Margin Call

ถ้าอยากเข้าใจง่าย ๆ ว่า Margin Trading คืออะไร ต้องรู้จักคำว่า “Margin Call” ด้วย Margin Call จะเกิดขึ้นเมื่อมูลค่าทรัพย์สินในบัญชีของคุณลดลงต่ำกว่าระดับเงินค้ำประกันขั้นต่ำที่โบรกเกอร์ตั้งไว้ สาเหตุอาจมาจากขาดทุนในตลาด เปิดสถานะเพิ่ม หรือโบรกเกอร์เปลี่ยนกติกาเรื่องมาร์จิ้น


เมื่อได้รับ Margin Call คุณต้องเติมเงินเพิ่มหรือขายสินทรัพย์บางส่วน เพื่อให้ยอดในบัญชีกลับมาอยู่ในระดับที่กำหนด ถ้าไม่ทำตาม โบรกเกอร์อาจปิดสถานะของคุณโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เพื่อป้องกันการขาดทุนที่มากขึ้น


ดังนั้น นักเทรดควรตั้งคำสั่งหยุดขาดทุน (Stop-Loss) และรักษายอดเงินค้ำประกันให้สูงกว่าขั้นต่ำเสมอ เพราะไม่ใช่แค่การเข้าเทรดที่สำคัญ แต่ต้องมั่นใจว่าคุณสามารถอยู่ในตลาดได้แม้ราคาจะเคลื่อนไหวสวนทางกับคุณ


ข้อกำหนดใน Margin Trading


โบรกเกอร์แต่ละเจ้าจะมีกฎเฉพาะของตัวเองสำหรับการเปิดบัญชีมาร์จิ้น โดยทั่วไปแล้วคุณต้องสมัครเปิดบัญชีประเภทนี้ และต้องฝากเงินขั้นต่ำตามที่โบรกเกอร์กำหนดก่อน พอผ่านการอนุมัติแล้ว คุณก็จะสามารถยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อนำไปใช้ในการเทรดได้ ซึ่งจำนวนเงินที่ยืมได้นั้นจะขึ้นอยู่กับ "สัดส่วนมาร์จิ้น (Margin Ratio)" ที่โบรกเกอร์ตั้งไว้


นอกจากนี้ "อัตราทด" หรือ Leverage ก็มีความสำคัญเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าใช้เลเวอเรจ 2:1 หมายความว่า ทุก ๆ 1 ดอลลาร์ที่คุณมี คุณสามารถยืมเพิ่มอีก 1 ดอลลาร์รวมเป็น 2 ดอลลาร์ สำหรับใช้ในการเทรดซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร (และขาดทุน) ได้มากขึ้น บางโบรกเกอร์อาจเสนออัตราทดที่สูงกว่านี้ โดยเฉพาะในตลาด Forex ที่นิยมใช้เลเวอเรจสูง อย่างไรก็ตาม หน่วยงานกำกับดูแลมักจะมีข้อจำกัดเพื่อป้องกันไม่ให้นักลงทุนรายย่อยรับความเสี่ยงเกินตัว และลดโอกาสเกิดการขาดทุนหนักเกินควบคุม


Margin Trading เหมาะกับใครและเมื่อไหร่?


การใช้มาร์จิ้นอาจให้ผลลัพธ์ที่ดี ถ้าคุณมีแผนการเทรดที่ชัดเจน มีวินัย และสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างรอบคอบ โดยเฉพาะถ้าคุณมั่นใจในการเทรดระยะสั้นและมองเห็นโอกาสชัดเจนในตลาด การใช้มาร์จิ้นจะช่วยเพิ่มขนาดของการลงทุน และอาจช่วยให้คุณทำกำไรได้มากขึ้น


แต่ถ้าคุณยังไม่แน่ใจทิศทางของตลาด หรือเทรดในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง การใช้มาร์จิ้นอาจทำให้สถานการณ์แย่ลงได้เร็วมาก ยิ่งถ้าเป็นนักเทรดมือใหม่ หรือมีแนวโน้มตัดสินใจตามอารมณ์ มาร์จิ้นอาจกลายเป็นกับดักมากกว่าจะเป็นเครื่องมือช่วยทำกำไร


สำหรับนักลงทุนสายระยะยาว มาร์จิ้นก็อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก เพราะคุณต้องแบกรับดอกเบี้ยจากเงินที่ยืมมา ซึ่งอาจกลายเป็นภาระในระยะยาว โดยเฉพาะหากถือสถานะไว้หลายเดือนหรือหลายปี


มือใหม่ควรลอง Margin Trading หรือไม่?

Margin Trading

ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินส่วนใหญ่มักเตือนว่า มือใหม่ไม่ควรรีบใช้มาร์จิ้นตั้งแต่แรก เพราะถึงแม้การเพิ่มโอกาสทำกำไรจะดูน่าสนใจ แต่ความเสี่ยงที่ตามมาก็หนักหนาไม่แพ้กัน การเข้าใจว่า Margin Trading คืออะไร ต้องมาพร้อมกับการตระหนักว่า ถ้าเทรดพลาด คุณอาจเสียเงินมากกว่าทุนที่คุณใส่ไว้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ


สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้น แนะนำให้เริ่มจากบัญชีเงินสด (Cash Account) ก่อนดีกว่า ใช้ช่วงแรกในการฝึกวางแผนการเทรด ฝึกวินัย และเรียนรู้การควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้มั่นคง พอมีประสบการณ์มากขึ้นแล้ว ค่อยลองใช้มาร์จิ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากจำนวนเงินเล็ก ๆ และต้องมีแผนควบคุมความเสี่ยงที่ชัดเจน


สรุป


Margin Trading คือการยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อนำมาเพิ่มขนาดการลงทุนของคุณ ให้ใหญ่กว่าจำนวนเงินที่คุณมีจริง ๆ วิธีนี้ช่วยให้คุณมีโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น แต่ในทางกลับกัน ความเสี่ยงที่จะขาดทุนก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย นักเทรดจึงใช้มาร์จิ้นเพื่อ “ขยายผล” จากการเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งสามารถเป็นทั้งบวกและลบได้เสมอ


การเทรดด้วยมาร์จิ้นเป็นเครื่องมือที่มีพลังมาก ถ้าใช้เป็นและใช้ถูกจังหวะ ก็สามารถเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับการเทรดของคุณได้ แต่ถ้าใช้โดยไม่วางแผนหรือไม่เข้าใจความเสี่ยงให้ดีก็อาจทำให้เงินในบัญชีหมดลงอย่างรวดเร็ว หากคุณคิดจะใช้มาร์จิ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องรู้จักควบคุมความเสี่ยง ติดตามสถานะของคุณอย่างใกล้ชิด ทำความเข้าใจกฎของโบรกเกอร์และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การถูกเรียกเติมเงิน (Margin Call) เพราะสุดท้ายแล้ว มาร์จิ้นจะเป็นเครื่องมือที่ดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ "วิธีใช้" ของคุณเอง


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
John J. Murphy ศิลปะการอ่านความสัมพันธ์ในตลาด
กลยุทธ์เทรดฟิวเจอร์สำหรับมือใหม่ เข้าใจง่ายในทันที
การเทรดรายวัน (Day Trading) คืออะไร?
อะไรคือการเล่นหุ้นแบบฟิวเจอร์ พร้อมวิเคราะห์ดัชนีหุ้นฟิวเจอร์เพื่อการลงทุน
เทรดเดอร์ (Trader) คืออะไร ต่างกับนักลงทุนยังไง?