简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นคืออะไร? พร้อมตัวอย่าง

2025-07-07

ในการวิเคราะห์ตลาดหุ้น มีไม่กี่ปัจจัยที่สำคัญเท่ากับ "ปริมาณการซื้อขาย" (Volume) เพราะเพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจของนักลงทุนต่อหุ้น กลุ่มอุตสาหกรรม หรือแม้แต่ตลาดทั้งระบบได้อย่างชัดเจน ขณะที่ราคาบอกเราว่า "เกิดอะไรขึ้น" แต่ปริมาณการซื้อขายกลับช่วยไขคำตอบว่า "ทำไมถึงเกิดขึ้น"


ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นศึกษาตลาดหุ้น หรือเป็นนักเทรดที่มีประสบการณ์และกำลังมองหาวิธีเพิ่มความแม่นยำให้กับกลยุทธ์ของคุณ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับความหมาย ความสำคัญ และวิธีการตีความปริมาณการซื้อขาย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจที่ดียิ่งขึ้นในทุกจังหวะของการลงทุน


ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นคืออะไร?

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นคืออะไร

ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ในตลาดหุ้น หมายถึง จำนวนหุ้นหรือสัญญาทั้งหมดที่มีการซื้อขายในหลักทรัพย์ใดหลักทรัพย์หนึ่ง หรือทั้งตลาด ภายในช่วงเวลาที่กำหนด โดยสะท้อนให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวและความสนใจของนักลงทุนต่อสินทรัพย์นั้น ๆ


ตัวอย่างเช่น หากหุ้น Apple (AAPL) มีการซื้อขายรวม 1 ล้านหุ้นในวันนี้ หมายความว่าปริมาณการซื้อขายของ AAPL ในวันนั้นคือ 1 ล้านหุ้น ซึ่งรวมทั้งฝั่งผู้ซื้อและผู้ขายไว้ด้วย เพราะการซื้อขายทุกครั้งต้องมีทั้งสองฝ่ายเข้าร่วม


ข้อมูลปริมาณการซื้อขายมักจะแสดงในหลายช่วงเวลา เช่น รายนาที รายชั่วโมง รายวัน หรือรายสัปดาห์ และโดยทั่วไปจะแสดงเป็นกราฟแท่ง (Histogram) ใต้กราฟราคาหลักทรัพย์


วิธีการวัดปริมาณการซื้อขาย


ปริมาณการซื้อขายถูกรายงานแบบเรียลไทม์โดยตลาดหลักทรัพย์ ทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น 100 หุ้น หรือ 100,000 หุ้น จะถูกรวมเข้าในปริมาณการซื้อขายทั้งหมด


2 ประเภทหลักของปริมาณการซื้อขาย:

  • Total Volume (ปริมาณรวม): จำนวนหุ้นที่ซื้อขายทั้งหมดในช่วงเวลาหนึ่ง

  • Average Volume (ปริมาณเฉลี่ย): จำนวนหุ้นเฉลี่ยที่มีการซื้อขายในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น 20 หรือ 50 วันทำการ


ตัวอย่างเช่น หากหุ้นตัวหนึ่งโดยปกติมีปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 2 ล้านหุ้น แต่วันหนึ่งมีปริมาณพุ่งขึ้นถึง 6 ล้านหุ้น นั่นอาจเป็นสัญญาณว่ามีข่าวใหม่ หรือความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ


ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณการซื้อขายและสภาพคล่อง


ปริมาณการซื้อขายที่สูงมักบ่งชี้ถึงสภาพคล่อง (Liquidity) ที่ดี กล่าวคือ นักลงทุนสามารถเปิดหรือปิดสถานะการซื้อขายได้ง่ายโดยไม่ส่งผลต่อราคาหุ้นมากนัก


หุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงมักจะมีลักษณะดังนี้:

  • สเปรดระหว่างราคาซื้อ-ขายแคบ

  • การเคลื่อนไหวของราคาราบรื่น

  • สามารถเทรดด้วยจำนวนมากโดยไม่เกิด Slippage มากนัก


ในทางกลับกัน หุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายต่ำมักจะมีสเปรดแคบ ความคลาดเคลื่อนของราคาสูง ความผันผวนมาก ทำให้มีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่


ทำไมปริมาณการซื้อขายจึงมีความสำคัญต่อการลงทุนและการเทรด?


ปริมาณการซื้อขายเป็นเครื่องมือสำคัญในการยืนยันความแข็งแกร่งของการเคลื่อนไหวของราคา หากราคาขึ้นหรือลงพร้อมกับปริมาณที่สูง แสดงว่ามีแรงสนับสนุนจากนักลงทุนจำนวนมากอยู่เบื้องหลัง ในทางตรงกันข้าม หากราคาผันผวนโดยมีปริมาณต่ำ อาจแสดงว่าไม่มีการเข้าร่วมอย่างกว้างขวาง และการเคลื่อนไหวนั้นอาจไม่ยั่งยืน


โดยสรุป ปริมาณการซื้อขายช่วยให้เราตีความสัญญาณต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เช่น:

  • ปริมาณที่เพิ่มขึ้นในแนวโน้มขาขึ้น บ่งบอกว่าแนวโน้มนั้นอาจยังดำเนินต่อไป

  • ปริมาณที่ลดลง อาจสื่อถึงแรงส่งที่อ่อนลงหรือกำลังเข้าสู่ช่วงพักฐาน

  • การพุ่งขึ้นของปริมาณอย่างเฉียบพลัน มักเกิดขึ้นก่อนการกลับทิศทางของราคา หรือเกิด Breakout สำคัญ


การทำความเข้าใจปริมาณการซื้อขายช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินสภาพคล่องของหุ้น ยืนยันแนวโน้มราคา ตรวจจับพฤติกรรมการซื้อขายที่ผิดปกติหรืออาจมีการปั่นราคา ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการตัดสินใจลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


ปริมาณการซื้อขายในภาวะตลาดที่แตกต่างกัน

Volume in Bull and Bear Markets


ตลาดขาขึ้น (Bull Markets)

ในช่วงที่ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ปริมาณการซื้อขายมักจะเพิ่มขึ้นเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้น (rallies) และลดลงเมื่อเกิดการย่อตัว (pullbacks) สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง และสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นที่มีความต่อเนื่อง


ตลาดขาลง (Bear Markets)

ในตลาดขาลง ปริมาณการซื้อขายมักจะพุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ราคาทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความตื่นตระหนกและความกลัวเข้าครอบงำผู้ลงทุน โดยการเทขายที่มีปริมาณมากเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังเข้าใกล้จุดต่ำสุด


ปริมาณการซื้อขายในจังหวะ Breakout และการกลับตัว (Reversal)


นอกจากนี้ ปริมาณการซื้อขายมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงที่เกิดการ breakout หรือการกลับตัวของแนวโน้ม


  1. เมื่อตลาดทะลุผ่านแนวต้านพร้อมปริมาณที่สูง เป็นการยืนยันว่าฝ่ายซื้อครองความได้เปรียบ และแนวโน้มขาขึ้นมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป

  2. หากเกิด Breakout แต่มีปริมาณการซื้อขายต่ำ มักจะถูกมองว่าไม่น่าเชื่อถือ และอาจเป็นเพียงสัญญาณหลอก (false breakout)

  3. ในทำนองเดียวกัน หากเกิดการพุ่งขึ้นของปริมาณในช่วงปลายแนวโน้มขาลง อาจเป็นสัญญาณของการ “ยอมจำนน” (capitulation) ซึ่งบ่งบอกว่าผู้ขายหมดแรงและแนวโน้มกำลังจะกลับตัว


กล่าวได้ว่า ปริมาณการซื้อขายเปรียบเสมือนสปอตไลต์ ที่ช่วยส่องให้เห็นว่ามีแรงสนับสนุนที่แท้จริงอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของตลาดหรือไม่


การตีความปริมาณควบคู่กับการเคลื่อนไหวของราคา

แนวโน้มราคาปริมาณ

การวิเคราะห์ปริมาณควบคู่กับการเปลี่ยนแปลงของราคา ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงอารมณ์และความเชื่อมั่นของตลาดได้ลึกซึ้งขึ้น ตัวอย่างของการจับคู่ระหว่างราคากับปริมาณมีดังนี้:


ราคาที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับปริมาณที่เพิ่มขึ้น

เป็นสัญญาณเชิงบวกที่แข็งแกร่ง บ่งบอกถึงแรงซื้อที่แท้จริง และอาจมีการเข้าซื้อจากนักลงทุนสถาบัน


ราคาที่เพิ่มขึ้นแต่ปริมาณที่ลดลง

อาจแสดงถึงความอ่อนแรงของฝ่ายซื้อ ความสนใจลดลง มีโอกาสเกิดการพักฐานหรือกลับตัว


ราคาที่ลดลงแต่ปริมาณที่เพิ่มขึ้น

เป็นสัญญาณเชิงลบที่ชัดเจน แสดงถึงการเทขายอย่างรุนแรง หรือมีการกระจายหุ้นจากรายใหญ่


ราคาที่ลดลงพร้อมกับปริมาณที่ลดลง

แสดงถึงแนวโน้มขาลงที่อ่อนตัวลง แรงขายเริ่มหมด และอาจเป็นสัญญาณของการกลับทิศทาง


ตัวอย่างสถานการณ์จริง


สมมติว่าเรากำลังติดตามหุ้นของบริษัทสมมติชื่อ ABC Corp.


  1. หุ้นนี้เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ $45–$50 โดยมีปริมาณซื้อขายเฉลี่ยเพียง 500,000 หุ้นต่อวัน

  2. วันหนึ่ง ABC ทะลุแนวต้านที่ $50 พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่พุ่งสูงถึง 2 ล้านหุ้น

  3. การเพิ่มขึ้นของปริมาณอย่างมีนัยสำคัญนี้ เป็นการยืนยันการ Breakout และดึงดูดให้นักลงทุนเข้าซื้อ

  4. ในสัปดาห์ถัดมา ราคาพุ่งขึ้นถึง $60 ยืนยันว่า การเข้าซื้อโดยอิงจากปริมาณนั้นเป็นการตัดสินใจที่มีเหตุผล


แต่หากการ Breakout ครั้งนี้เกิดขึ้นบนปริมาณที่ต่ำ นักลงทุนจำนวนมากอาจมองว่าสัญญาณไม่น่าเชื่อถือ และเลือกที่จะไม่เข้าเทรด


วิธีนำปริมาณการซื้อขายมาใช้ในกลยุทธ์เทรด


ปริมาณการซื้อขายสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับกลยุทธ์การเทรดแทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นตามเทรนด์ (trend-following), การเทรดระยะสั้น (scalping), หรือการเทรดสวิง (swing trading)


สำหรับมือใหม่ คำแนะนำมีดังนี้:

  • ใช้ปริมาณเพื่อยืนยันการ Breakout หรือ Breakdown

  • เฝ้าระวังความขัดแย้งระหว่างทิศทางราคาและปริมาณ เพื่อจับสัญญาณกลับตัว

  • ผสานปริมาณเข้ากับอินดิเคเตอร์อื่น เช่น RSI, MACD หรือ Bollinger Bands เพื่อเพิ่มความแม่นยำ


อย่างไรก็ตาม ปริมาณไม่ควรถูกใช้เพียงลำพัง แต่ควรใช้ควบคู่กับปัจจัยอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการตัดสินใจ


สรุป


ปริมาณการซื้อขายไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดา แต่มันคือ "หัวใจสำคัญของคลาด" มันบ่งบอกถึงความมั่นใจที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงของราคา ระบุช่วงเวลาที่อาจเกิดการกลับตัว และยืนยันแนวโน้ม หรือการ Breakout ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนระยะยาวหรือเทรดเดอร์รายวัน การเข้าใจและวิเคราะห์ปริมาณจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น


แม้การเรียนรู้การอ่านปริมาณจะใช้เวลา แต่ด้วยการฝึกฝนและศึกษาต่อเนื่อง มันจะกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังที่คุณขาดไม่ได้ในเส้นทางการเทรดของคุณ


คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
Bid Ask Spread คืออะไร? ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องรู้
10 เคล็ดลับเทรดรายวันอย่างไรให้มีกำไรมั่นคง
Displaced Moving Average คืออะไรในตลาดหุ้น? พร้อมกลยุทธ์และข้อควรรู้
เปิดข้อมูล Sell Stop คืออะไร พร้อม 5 กลยุทธ์การใช้เทรด Forex
สภาพคล่องของตลาดหุ้นคืออะไร? คำอธิบายง่ายๆ