เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-09
นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) เป็นหนึ่งในพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจมหภาคที่สำคัญที่สุด ซึ่งกำหนดสภาพแวดล้อมที่นักเทรดต้องเผชิญอยู่เสมอ โดยในความหมายพื้นฐานที่สุด นโยบายการคลังคือชุดการตัดสินใจของรัฐบาลเกี่ยวกับระดับการใช้จ่าย การเก็บภาษี และวิธีการจัดหาเงินทุนเมื่อรายจ่ายสูงกว่ารายรับ
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของมันไม่เคยเป็นเรื่องง่ายเช่นคำนิยาม เพราะสำหรับนักเทรด นโยบายการคลังคือปัจจัยที่กำหนวจังหวะของวัฏจักรเศรษฐกิจ มีอิทธิพลต่อคาดการณ์เงินเฟ้อ กระทบต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร ส่งผลต่อการประเมินค่าเงิน และยังสามารถเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดการหมุนเวียนของกระแสเงินระหว่างกลุ่มหุ้นต่าง ๆ ได้อีกด้วย
ดังนั้น นักเทรดที่ต้องการเข้าใจ “เหตุผลเบื้องหลัง” การเคลื่อนไหวของตลาด จำเป็นต้องเริ่มจากความเข้าใจเรื่องนโยบายการคลังก่อนเป็นอันดับแรก

นโยบายการคลัง คือการใช้จ่ายของรัฐบาลและการจัดเก็บภาษีอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อควบคุมและกำกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
เมื่อเศรษฐกิจอ่อนแรง รัฐบาลมักจะพยายามกระตุ้นการเติบโตผ่านการเพิ่มการใช้จ่าย หรือการลดภาษี
เมื่อเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น หรือการขาดดุลเริ่มไม่ยั่งยืน รัฐบาลอาจจำเป็นต้องชะลอการกระตุ้นด้วยการลดรายจ่ายหรือเพิ่มภาษี
แตกต่างจากนโยบายการเงิน ซึ่งดำเนินการโดยธนาคารกลาง นโยบายการคลังถูกกำหนดผ่านกระบวนการทางการเมือง ทำให้มักใช้เวลานานกว่าในการดำเนินการ แต่ก็ทรงพลังในเชิงโครงสร้างมากกว่า เพราะสามารถเปลี่ยนแปลงรายได้ของประชาชน ปรับแรงจูงใจของอุตสาหกรรม และกำหนดทิศทางการลงทุนภาครัฐได้โดยตรง
รัฐบาลสามารถใช้นโยบายการคลังได้ 3 รูปแบบหลัก ขึ้นอยู่กับว่าต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ชะลอเศรษฐกิจ หรือคงไว้ซึ่งเสถียรภาพ
นโยบายนี้ถูกใช้เมื่อเศรษฐกิจอ่อนแอหรือการเติบโตชะลอลง รัฐบาลจะเพิ่มการใช้จ่าย ลดภาษี หรือทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน เป้าหมายคือกระตุ้นอุปสงค์รวม สนับสนุนการจ้างงาน และส่งเสริมการลงทุนของภาคธุรกิจ
สำหรับนักเทรด นโยบายนี้มักหมายถึงการกู้ยืมของรัฐบาลเพิ่มขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอาจเผชิญแรงกดดันให้ปรับสูงขึ้น และภาคธุรกิจที่อ่อนไหวต่อการเติบโตมีแนวโน้มได้รับประโยชน์มากขึ้น
นโยบายการคลังแบบหดตัวใช้เมื่อเศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป เงินเฟ้อปรับสูงขึ้น หรือระดับหนี้สาธารณะเริ่มน่าเป็นห่วง มาตรการมักรวมถึงการลดรายจ่าย เพิ่มภาษี หรือผสมผสานทั้งสองวิธี
เป้าหมายคือชะลอกิจกรรมทางเศรษฐกิจและฟื้นฟูความสมดุล นักเทรดให้ความสนใจมากเป็นพิเศษเพราะอาจส่งผลให้การเติบโตช้าลง ความต้องการกู้ยืมลดลง และค่าเงินมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
เกิดขึ้นเมื่อรายจ่ายและการจัดเก็บภาษีมีความสมดุลกันโดยประมาณ รัฐบาลไม่ได้พยายามกระตุ้นหรือควบคุมเศรษฐกิจเป็นพิเศษ
สำหรับนักเทรด นโยบายแบบเป็นกลางมักสื่อถึงความเสถียรภาพ และมีผลกระทบต่อทิศทางตลาดไม่มากนัก
นักเทรดมักพบคำอธิบายตลาดอย่างเช่น “นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยเพิ่มความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง” หรือ “การตึงตัวทางการคลังกดดันหุ้นที่อ่อนไหวต่อการเติบโต” ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำติดปาก เพราะการตัดสินใจด้านการคลังสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมราคาได้จริง
นโยบายการคลังส่งผลต่อตลาดผ่าน 4 ช่องทางหลัก:
คาดการณ์การเติบโต: มาตรการกระตุ้นสามารถผลักดันประมาณการ GDP ให้สูงขึ้นและหนุนราคาหุ้น
พลวัตของอัตราเงินเฟ้อ: การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอาจดันคาดการณ์เงินเฟ้อให้สูงขึ้น ส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรและราคาสินค้าโภคภัณฑ์
การกู้ยืมของรัฐบาล: การขาดดุลที่มากขึ้นหมายถึงการออกพันธบัตรเพิ่ม กดดันให้ผลตอบแทนสูงขึ้น และบางครั้งทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนชันขึ้น
กระแสเงินทุน: นักลงทุนต่างชาติตอบสนองต่อนโยบายการคลังโดยย้ายเงินไปยังตลาดที่เห็นว่าให้โอกาสหรือความมั่นคงสูงกว่า
สำหรับนักเทรดแล้ว ความเข้าใจนโยบายการคลังไม่ใช่เรื่องเสริม แต่เป็นบริบทสำคัญที่จำเป็นสำหรับการตีความแนวโน้มราคา และคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาด
นี่คือเครื่องมือที่เห็นได้ชัดที่สุดของนโยบายการคลัง ครอบคลุมตั้งแต่โครงการโครงสร้างพื้นฐาน บริการสาธารณสุข เงินเดือนข้าราชการ เงินอุดหนุน ไปจนถึงงบกลาโหม
ผลกระทบต่อตลาด: การใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจมักหนุนหุ้นกลุ่มวัฏจักร (cyclical stocks) และสินค้าโภคภัณฑ์ อีกทั้งยังเพิ่มความต้องการกู้ยืมของรัฐบาล
ภาษีมีผลต่อการบริโภคของครัวเรือนและความสามารถทำกำไรของภาคธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีบริษัท ภาษีการบริโภค และภาษีกำไรจากการลงทุน สามารถส่งผลอย่างมากต่อสภาพแวดล้อมการเทรด
ผลกระทบต่อตลาด : การลดภาษีมักเป็นบวกต่อราคาหุ้น โดยเฉพาะหุ้นที่อ่อนไหวต่อรายได้หลังหักภาษีหรือกำไรสุทธิของบริษัท
ความสัมพันธ์ระหว่างรายจ่ายและรายได้ของรัฐเป็นตัวกำหนดว่ารัฐบาลอยู่ในภาวะเกินดุลหรือขาดดุล
ผลกระทบต่อตลาด: ภาวะขาดดุมักหมายถึงการออกพันธบัตรเพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรให้สูงขึ้น และส่งผลต่อความแข็งแกร่งของค่าเงิน
เช่น เงินชดเชยการว่างงาน สวัสดิการสังคม และโครงสร้างภาษีก้าวหน้า ซึ่งช่วยลดความรุนแรงของภาวะถดถอย และชะลอการขยายตัวที่ร้อนแรงเกินไปโดยอัตโนมัติ
ผลกระทบต่อตลาด: ปัจจัยเหล่านี้ช่วยเสริมความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจ แต่ก็อาจทำให้ความต้องการกู้ยืมของรัฐบาลเพิ่มขึ้นในช่วงเศรษฐกิจอ่อนตัว

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมักผลักดันคาดการณ์กำไรบริษัทให้สูงขึ้น และหนุนหุ้นในภาคที่เชื่อมโยงกับกิจกรรมเศรษฐกิจโดยตรง ขณะที่วัฏจักร “รัดเข็มขัดทางการคลัง” มักส่งผลในทางตรงกันข้าม ทำให้นักลงทุนหมุนเงินเข้าสู่หุ้นเชิงป้องกัน (defensive stocks) นักเทรดจึงติดตามประกาศงบประมาณอย่างใกล้ชิดเพื่อดูสัญญาณว่าภาคส่วนใดจะเด่นนำตลาด
การกู้ยืมของรัฐบาลเชื่อมโยงกับนโยบายการคลังโดยตรง การกู้เพิ่มหมายถึงมีพันธบัตรออกสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งกดดันให้อัตราผลตอบแทนสูงขึ้น เว้นแต่ว่าจะมีอุปสงค์ที่แข็งแกร่งมาชดเชย ความคาดหวังต่อระดับขาดดุลสามารถส่งผลต่อรูปทรงของเส้นอัตราผลตอบแทนทั้งหมด
การตัดสินใจด้านการคลังมีผลต่อกระแสเงินทุนระหว่างประเทศ หากแนวโน้มการเติบโตแข็งแกร่ง อาจดึงดูดเงินทุนจากต่างชาติและทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น ในทางกลับกัน การกู้ยืมจำนวนมากหรือความกังวลเรื่องเสถียรภาพทางการคลังอาจทำให้ค่าเงินอ่อนค่า
การใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานช่วยเพิ่มความต้องการวัตถุดิบ เช่น ทองแดงและเหล็ก ในขณะเดียวกัน สภาพแวดล้อมทางการคลังที่มีลักษณะก่อให้เกิดเงินเฟ้อมักสนับสนุนราคาทองคำและพลังงาน เนื่องจากนักเทรดใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านกำลังซื้อ (purchasing-power risk)
| นโยบายการคลัง | นโยบายการเงิน |
|---|---|
| กำหนดโดยรัฐบาล (ฝ่ายนิติบัญญัติและบริหาร) | ดำเนินการโดยธนาคารกลาง (เช่นคณะกรรมการนโยบายการเงิน) |
| ใช้การใช้จ่ายและการจัดเก็บภาษีเพื่อควบคุมเศรษฐกิจ | ใช้อัตราดอกเบี้ยและปริมาณเงินเพื่อกำหนดสภาพคล่องทางการเงิน |
| การเปลี่ยนแปลงใช้เวลานาน เพราะต้องผ่านขั้นตอนอนุมัติและดำเนินการ | การเปลี่ยนแปลงส่งผลต่อเศรษฐกิจได้ภายในไม่กี่เดือน หรือเร็วกว่านั้น |
| สามารถเจาะจงภาคเศรษฐกิจที่ต้องการสนับสนุนผ่านการใช้จ่ายแบบเฉพาะเจาะจง | ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมผ่านสภาพสินเชื่อและสภาพคล่อง |
นโยบายการเงิน: การดำเนินการของธนาคารกลางโดยใช้อัตราดอกเบี้ยและปริมาณเงินเพื่อบริหารภาวะเศรษฐกิจ
งบประมาณขาดดุล: เกิดขึ้นเมื่อรายจ่ายของรัฐบาลสูงกว่ารายได้ ทำให้ต้องกู้ยืมเพื่อชดเชยส่วนที่ขาดไป
หนี้สาธารณะ: ยอดรวมทั้งหมดที่รัฐบาลค้างชำระต่อเจ้าหนี้ สะสมจากดุลการคลังที่ขาดดุลและเกินดุลในแต่ละปี
นโยบายการคลังถูกควบคุมโดยรัฐบาลผ่านการใช้จ่ายและการจัดเก็บภาษี ในขณะที่นโยบายการเงินถูกกำหนดโดยธนาคารกลาง และมุ่งเน้นการปรับอัตราดอกเบี้ยและปริมาณเงิน นโยบายการคลังสามารถเปลี่ยนแปลงรายได้และทิศทางการลงทุนโดยตรง ส่วน นโยบายการเงินมีผลต่อสภาพสินเชื่อและต้นทุนการกู้ยืมเป็นหลัก
เพราะนโยบายการคลังมีผลต่อคาดการณ์การเติบโต แนวโน้มเงินเฟ้อ และความต้องการกู้ยืมของรัฐบาล ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลต่อตลาดหุ้น พันธบัตร ค่าเงิน และสินค้าโภคภัณฑ์ นักเทรดที่ติดตามการปรับนโยบายจะสามารถคาดการณ์การหมุนเวียนของกลุ่มหุ้น การเปลี่ยนแปลงเส้นอัตราผลตอบแทน และปฏิกิริยาของค่าเงินได้ดีขึ้น
ไม่เสมอไป มาตรการกระตุ้นสามารถช่วยหนุนการเติบโตและเพิ่มความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง แต่หากตลาดกังวลเรื่องเงินเฟ้อหรือหนี้สาธารณะสูง อัตราผลตอบแทนอาจเพิ่มขึ้น ค่าเงินอาจอ่อนลง และหุ้นอาจผันผวน การตอบสนองของตลาดขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและความคาดหวังของนักลงทุนในช่วงเวลานั้น
นโยบายการคลังคือรากฐานสำคัญที่กำหนดพฤติกรรมของตลาดการเงิน ส่งผลต่อวัฏจักรเศรษฐกิจและเคลื่อนราคาสินทรัพย์ทุกประเภท
สำหรับนักเทรด นโยบายนี้ให้สัญญาณสำคัญเกี่ยวกับการเติบโตในอนาคต แนวโน้มเงินเฟ้อ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร ค่าเงิน และทิศทางของแต่ละภาคส่วนในตลาด การเรียนรู้วิธีตีความแผนการใช้จ่าย การปรับภาษี และดุลการคลัง ช่วยให้ผู้เริ่มต้นได้เปรียบเชิงวิเคราะห์อย่างมาก
ตลาดอาจเคลื่อนไหวจากปัจจัยหลายอย่าง แต่นโยบายการคลังคือหนึ่งในแรงขับเคลื่อนที่ทรงพลังและสม่ำเสมอที่สุด
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ