เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-27
ตลาดการเงินมักเคลื่อนไหวไม่ต่างจากสภาพอากาศ ช่วงเวลาแห่งการเติบโตอย่างมั่นคงอาจพลิกผันกลายเป็นเมฆหมอกแห่งความไม่แน่นอนได้ในพริบตา ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจึงเปรียบเสมือนพายุทางเศรษฐกิจ ที่ทดสอบความแข็งแกร่งของภาคธุรกิจ นักลงทุน และครัวเรือนอย่างแท้จริง
การเข้าใจว่า “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” คืออะไร ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความกลัว แต่คือการมองการณ์ไกล การรู้จักสังเกตสัญญาณเตือนล่วงหน้า เช่น การว่างงานที่เพิ่มขึ้น การผลิตที่ชะลอตัว หรือความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมพร้อมได้แทนที่จะตื่นตระหนก ในปี 2025 ขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยสูง การเข้าถึงสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น และแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ การมองเห็นสัญญาณเตือนเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ คือทักษะสำคัญที่นักเทรดไม่ควรมองข้าม

ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) คือช่วงเวลาที่เศรษฐกิจหดตัวต่อเนื่อง โดยทั่วไปมักถูกนิยามว่าเกิดขึ้นเมื่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ลดลงติดต่อกันอย่างน้อยสองไตรมาส ซึ่ง GDP เป็นตัวชี้วัดมูลค่ารวมของสินค้าและบริการทั้งหมดที่ผลิตในประเทศ หากตัวเลขนี้หดตัว แสดงถึงการใช้จ่ายที่ลดลง ความต้องการอ่อนแรง และกิจกรรมทางธุรกิจที่ชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ไม่ได้พิจารณาเพียงแค่ GDP เท่านั้น พวกเขายังวิเคราะห์ตัวชี้วัดอื่น ๆ เช่น อัตราการจ้างงาน ยอดขายปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการเติบโตของรายได้ เพื่อยืนยันว่าการชะลอตัวนั้นเกิดขึ้นในวงกว้างและต่อเนื่องหรือไม่ ในสหรัฐอเมริกา หน่วยงาน National Bureau of Economic Research (NBER) ใช้วิธีประเมินแบบหลายตัวชี้วัดนี้ในการประกาศภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างเป็นทางการ
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยถือเป็นส่วนหนึ่งของวงจรเศรษฐกิจตามธรรมชาติ หลังจากช่วงขยายตัว ย่อมตามมาด้วยช่วงชะลอตัว ก่อนที่เศรษฐกิจจะฟื้นกลับอีกครั้ง สำหรับนักลงทุน เป้าหมายไม่ใช่การหลีกเลี่ยงภาวะถดถอย แต่คือการมองเห็นสัญญาณล่วงหน้าและปรับกลยุทธ์ให้ทันเวลา
ภาวะถดถอยมักไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว แต่เป็นผลจากการผสมผสานของปัจจัยทางการเงิน นโยบาย และพฤติกรรมของตลาดที่เชื่อมโยงกันในระบบเศรษฐกิจ
นโยบายการเงินที่เข้มงวด: เมื่อธนาคารกลางขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ การกู้ยืมจะมีต้นทุนสูงขึ้น ธุรกิจชะลอการลงทุน ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว
ภาวะช็อกด้านอุปทาน: เหตุการณ์เช่น ราคาน้ำมันพุ่งสูง สงคราม หรือภัยธรรมชาติ ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นและผลผลิตลดลง
ฟองสบู่สินทรัพย์: เมื่อราคาทรัพย์สิน เช่น อสังหาริมทรัพย์หรือหุ้นเทคโนโลยีสูงเกินจริง การปรับฐานอย่างรุนแรงอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางการเงิน
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง: เมื่อผู้คนกังวลเรื่องการตกงานหรือค่าครองชีพสูงขึ้น พวกเขาจะลดการใช้จ่าย ส่งผลให้ความต้องการสินค้าลดลงทั่วทั้งระบบ
แรงกระแทกจากภายนอก: เช่น สงครามการค้า ความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือโรคระบาด ที่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและการลงทุนทั่วโลก
แม้แต่ละภาวะถดถอยจะมี “เรื่องราว” ของตัวเอง แต่ส่วนใหญ่ล้วนมีรูปแบบคล้ายกัน คือ เครดิตเข้มงวด กำไรธุรกิจลดลง และการใช้จ่ายในครัวเรือนอ่อนแรง
การคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ ต้องอาศัยการเฝ้าติดตาม “ตัวชี้วัดนำ” ที่มักเปลี่ยนแปลงก่อนข้อมูลเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ
เกิดขึ้นเมื่อพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าระยะยาว สะท้อนว่าตลาดคาดการณ์การเติบโตที่อ่อนแรงข้างหน้า ตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา ทุกภาวะถดถอยใหญ่ของสหรัฐฯ ต่างถูกนำหน้าด้วยสัญญาณนี้ ในปี 2025 พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปีให้ผลตอบแทนสูงกว่า 10 ปี สะท้อนความกังวลของตลาดที่ยังไม่คลาย
ดัชนี PMI (Purchasing Managers’ Index) ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงการหดตัวของกิจกรรมโรงงาน ช่วงปลายปี 2024 ดัชนี PMI ของยุโรปอยู่ที่ประมาณ 47 สะท้อนการชะลอตัวในภาคอุตสาหกรรม
ข้อมูลการจ้างงานเป็นตัวชี้วัดที่ทรงพลัง การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของการยื่นขอสวัสดิการว่างงาน หรือการปลดพนักงานในหลายอุตสาหกรรม มักเป็นสัญญาณว่าความต้องการในระบบเศรษฐกิจกำลังอ่อนแรง เช่น สหราชอาณาจักรและญี่ปุ่นรายงานอัตราว่างงานที่เริ่มขยับขึ้นในช่วงต้นปี 2025
ยอดขายปลีกและการกู้ยืมภาคครัวเรือนสะท้อนระดับความมั่นใจของผู้คน เมื่อการใช้จ่ายลดลงต่อเนื่อง มักเป็นสัญญาณเตือนของ GDP ที่จะหดตัว ตัวอย่างเช่น ยอดขายปลีกในสหรัฐฯ ลดลงต่อเนื่อง 3 เดือนในปี 2025 สร้างความกังวลเรื่องกำลังซื้อที่อ่อนแรง
เมื่อธนาคารลดการปล่อยสินเชื่อ ธุรกิจไม่สามารถขยายการลงทุนได้ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง การสำรวจสินเชื่อทั่วโลกในเดือนมีนาคม 2025 พบว่า 63% ของธนาคารเข้มงวดการให้กู้ยืมมากขึ้น ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี
เกิดจากการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยเกินตัวและการล่มสลายของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ วิกฤตนี้แพร่กระจายไปทั่วโลก ทำให้มูลค่าตลาดสูญหายไปหลายล้านล้านดอลลาร์ รัฐบาลหลายประเทศต้องออกมาตรการอัดฉีดทางการเงินครั้งใหญ่ ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกตอบสนองด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ และเข้าซื้อพันธบัตรขนาดมหาศาลเพื่อพยุงเศรษฐกิจ
เกิดจากการล็อกดาวน์ทั่วโลก ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก เป็นหนึ่งในภาวะถดถอยที่รุนแรงและรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ GDP ของประเทศเศรษฐกิจหลักทั่วโลกลดลงอย่างมากภายในเวลาไม่กี่เดือน การฟื้นตัวเริ่มขึ้นหลังจากรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และการฉีดวัคซีนช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
แม้จะไม่ถึงขั้นภาวะถดถอยเต็มรูปแบบ แต่เศรษฐกิจของหลายประเทศ เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร เผชิญการเติบโตที่ซบเซา เนื่องจากราคาพลังงานสูงและนโยบายการเงินที่เข้มงวด เหตุการณ์นี้เตือนนักลงทุนว่า แม้เพียงการชะลอตัวเล็กน้อยก็สามารถเปลี่ยนทิศทางความเชื่อมั่นและพฤติกรรมการลงทุนของตลาดได้
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยบังคับให้นักลงทุนปรับจุดสนใจจาก “การเติบโต” ไปสู่ “การป้องกันความเสี่ยง” ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ หุ้นในกลุ่มป้องกันความเสี่ยง (Defensive Sectors) เช่น สาธารณสุข (Healthcare), สาธารณูปโภค (Utilities) และ สินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน (Consumer Staples) มักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดโดยรวม ขณะที่ ทองคำและพันธบัตรรัฐบาล มักได้รับความนิยมในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
เทรดเดอร์ในตลาดหุ้นอาจใช้กลยุทธ์ขายชอร์ต (Short Selling) หรือเน้นลงทุนในหุ้นที่มีงบดุลแข็งแกร่งและจ่ายเงินปันผลสูง ส่วน นักลงทุนระยะยาว มักมองว่าภาวะถดถอยคือ “โอกาสในการเข้าซื้อ” มากกว่าช่วงเวลาแห่งความกลัว ในอดีต ดัชนี S&P 500 มักสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดภายในหนึ่งปีหลังภาวะถดถอยสิ้นสุดลง ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า กลยุทธ์ที่อดทนและมีวินัย มักชนะกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยความตื่นตระหนก

โดยเฉลี่ยแล้ว ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมักยาวนานระหว่าง 6 เดือนถึง 2 ปี อย่างไรก็ตาม ความเร็วของการฟื้นตัวขึ้นอยู่กับ “สาเหตุของการถดถอย” และ “ความรวดเร็วของนโยบายภาครัฐ” ที่เข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจ
ไม่เสมอไป บางครั้งภาวะถดถอยเกิดขึ้นเฉพาะในประเทศหรือภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่งเท่านั้น แต่ในบางกรณี เช่น วิกฤตการเงินโลกปี 2008 ผลกระทบได้ลุกลามไปทั่วโลก เนื่องจากตลาดการเงินและเศรษฐกิจมีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด
ควรให้ความสำคัญกับการลดภาระหนี้สิน สร้างเงินสำรองฉุกเฉิน และลงทุนอย่างระมัดระวัง โดยกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภท โดยเฉพาะสินทรัพย์ในกลุ่มป้องกันความเสี่ยง (Defensive Assets) เช่น พันธบัตรรัฐบาล ทองคำ หรือหุ้นในกลุ่มสินค้าจำเป็น
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรธุรกิจตามธรรมชาติ มันทำหน้าที่ชำระล้างความเกินตัวในระบบเศรษฐกิจ ปรับมูลค่าทรัพย์สินให้เหมาะสม และวางรากฐานสำหรับการเติบโตในอนาคต สำหรับนักลงทุน การเข้าใจภาวะถดถอยคือกุญแจสำคัญในการ บริหารความเสี่ยงและมองเห็นจุดเปลี่ยนของตลาด
ความสามารถในการมองเห็น “สัญญาณเตือนล่วงหน้า” ช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันการขาดทุนหรือการจับจังหวะเพื่อเตรียมเข้าสู่รอบฟื้นตัว การเรียนรู้ที่จะอ่าน ข้อมูลเศรษฐกิจ และ ความรู้สึกของตลาด (Market Sentiment) อย่างถูกต้อง จะช่วยเปลี่ยน “ความไม่แน่นอน” ให้กลายเป็น “โอกาสการลงทุน”
GDP: มูลค่ารวมของสินค้าและบริการทั้งหมดที่ผลิตได้ภายในประเทศ
Yield Curve: กราฟแสดงอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลในช่วงอายุต่าง ๆ
PMI: ดัชนีที่สะท้อนการขยายตัวหรือหดตัวของภาคเศรษฐกิจจากการสำรวจผู้ประกอบการ
นโยบายการคลัง: การใช้จ่ายและการเก็บภาษีของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นหรือชะลอเศรษฐกิจ
นโยบายการเงิน: การดำเนินการของธนาคารกลางในการควบคุมปริมาณเงินและอัตราดอกเบี้ยในระบบเศรษฐกิจ
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ