หากต้องการเทรดแบบ breakout ให้ประสบความสำเร็จ ควรเรียนรู้กลยุทธ์ Break and Retest ที่เทรดเดอร์มืออาชีพใช้ เพื่อเพิ่มความน่าเป็น พร้อมลดความเสี่ยง
ในวงการเทรดเชิงเทคนิค กลยุทธ์ Break and Retest คือหนึ่งในวิธีที่ทรงพลังและเข้าใจง่ายที่สุด เป็นเทคนิคการวิเคราะห์ราคาที่คลาสสิก ช่วยให้นักเทรดสามารถจับจังหวะเทรนด์ที่กำลังดำเนินต่อไปได้อย่างแม่นยำ โดยอาศัยการระบุระดับแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ
เมื่อใช้กลยุทธ์นี้อย่างถูกวิธีจะช่วยสร้างโอกาสทำกำไรที่มีความน่าจะเป็นสูง เหมาะกับตลาดหลากหลายประเภท ทั้งตลาดฟอเร็กซ์ หุ้น และดัชนีต่าง ๆ
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่กำลังเรียนรู้การอ่านกราฟ หรือเป็นนักเทรดที่มีประสบการณ์และต้องการปรับจังหวะเข้าซื้อขายให้แม่นยำยิ่งขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้วิธีเทรดด้วยกลยุทธ์ Break and Retest อย่างมืออาชีพสำหรับปี 2025 และอนาคตต่อไป
กลยุทธ์ Break and Retest คือวิธีการเทรดด้วยราคา (Price Action) ที่เน้นการระบุระดับแนวรับและแนวต้านในแนวนอน เมื่อราคาสามารถทะลุผ่านระดับเหล่านี้ไปได้ ราคามักจะมีการดึงกลับ (Pullback) เพื่อ “ทดสอบซ้ำ” (Retest) บริเวณดังกล่าว ก่อนจะเคลื่อนไหวต่อไปในทิศทางที่ทะลุออกมา
การทดสอบซ้ำนี้ยืนยันว่าแนวรับและแนวต้านเดิมได้เปลี่ยนบทบาทกันแล้ว เช่น แนวต้านที่ถูกทำลายไปจะกลายเป็นแนวรับใหม่ และในทางกลับกัน นักเทรดจะใช้ช่วงเวลาทดสอบนี้เป็นการตรวจสอบแรงโมเมนตัมก่อนตัดสินใจเข้าทำรายการ
หลักการสำคัญของกลยุทธ์นี้อยู่ที่จิตวิทยาตลาด เพราะผู้เข้าร่วมตลาดจำนวนมากมักรอการยืนยันหลังจากเกิดการเบรคเอาท์ ซึ่งจะทำให้เกิดแรงซื้อหรือแรงขายใหม่ในโซนที่ทดสอบซ้ำ พฤติกรรมนี้จึงทำให้การทดสอบซ้ำเป็นจุดเข้าซื้อขายที่น่าเชื่อถือ
โดยแก่นแท้แล้ว กลยุทธ์ Break and Retest คือการหาการยืนยัน ในการเคลื่อนไหวของราคา เพราะการเบรคเอาท์มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้นักเทรดหลายคนลังเลที่จะเข้าตลาดทันที เนื่องจากความเสี่ยงของการเกิด False Breakout เมื่อราคากลับมาทดสอบระดับเบรคเอาท์อีกครั้ง นั่นเป็นโอกาสที่สองให้นักเทรดเข้าทำรายการได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
การทดสอบซ้ำนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก:
ผู้ซื้อหรือผู้ขายที่เข้าช้าต้องการเข้าตลาดหลังจากราคายืนยันทิศทางแล้ว
นักเทรดที่ถูก “ล็อกสถานะ” ในทิศทางผิดของเบรคเอาท์ จะออกจากตำแหน่งของตน
นักลงทุนสถาบันมักรอหาสภาพคล่องในบริเวณระดับสำคัญก่อนจะเข้าซื้อขา
พฤติกรรมเหล่านี้รวมกันทำให้ระดับที่เกิดการทดสอบซ้ำกลายเป็นจุดที่มีปริมาณการซื้อขายสูงขึ้น ช่วยยืนยันความน่าเชื่อถือของเบรคเอาท์นั้น
Forex
คู่สกุลเงินมักจะเคารพระดับแนวรับและแนวต้านอย่างชัดเจน เนื่องจากลักษณะทางเทคนิคของตลาดฟอเร็กซ์ คู่เงินหลัก ๆ เช่น EUR/USD, GBP/JPY และ USD/CHF มักแสดงโครงสร้างการเบรคและทดสอบซ้ำอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงที่สภาพคล่องสูง
หุ้น
หุ้นรายตัวมักเกิดการเบรคเอาท์จากโซนการรวมตัวของราคา หลังจากรายงานผลประกอบการหรือเหตุการณ์ข่าวสำคัญ กลยุทธ์ Break and Retest เหมาะสำหรับการกลับเข้าซื้อในแนวโน้มที่แข็งแกร่งของหุ้นยอดนิยมอย่าง Apple, Tesla หรือ Amazon
ดัชนี
นักเทรดดัชนีใช้กลยุทธ์นี้กับ S&P 500, Nasdaq และ DAX ระดับแนวรับและแนวต้านบนกราฟรายวันเหมาะสมกับนักเทรดแบบสวิงเทรดและนักเทรดแบบถือครองระยะกลางถึงยาว
1. การระบุระดับแนวรับและแนวต้านสำคัญ
ขั้นตอนแรกของการเทรดด้วยกลยุทธ์ Break and Retest คือการระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่มีความสำคัญบนกราฟของคุณ ซึ่งเป็นระดับที่ราคามักจะกลับตัวหรือรวมตัวกันในอดีต
ค้นหา:
ราคาสูงสุดและต่ำสุดก่อนหน้า
ตัวเลขกลม ๆ ที่สำคัญ (เช่น 1.2000 ในตลาดฟอเร็กซ์)
พื้นที่รวมตัวแนวนอน (Horizontal Consolidation)
นอกจากนี้ยังควรพิจารณา:
การเบรคเทรนด์ไลน์ (Trendline Breakouts)
โซน Fibonacci retracement
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สำคัญ เช่น EMA 200
แนะนำให้ใช้กรอบเวลาที่สูงขึ้น เช่น 1 ชั่วโมง (1H), 4 ชั่วโมง (4H) หรือกราฟรายวัน (Daily) เพื่อระบุระดับที่แข็งแกร่ง จากนั้นลงมาดูกรอบเวลาที่ต่ำกว่า เช่น 15 นาที (15M) ถึง 1 ชั่วโมง (1H) เพื่อหาจังหวะเข้าซื้อขายที่แม่นยำ
2. การเข้าใจการเบรคเอาท์ที่ถูกต้อง
ไม่ใช่ทุกครั้งที่ราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านจะเป็นโอกาสเทรดที่ดี การเบรคเอาท์ที่ประสบความสำเร็จมักเกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น การเกิดรูปแบบแท่งเทียนที่แข็งแกร่ง หรือได้รับแรงหนุนจากข่าวสารสำคัญ การเบรคเอาท์ที่แท้จริงควรมีลักษณะดังนี้:
ราคาปิดอยู่เหนือระดับนั้นบนกรอบเวลาที่สูงกว่า
ไม่มีแท่งเทียนหางยาวหรือแท่งเทียนที่แสดงความลังเลใจ
รักษาแรงโมเมนตัมและโครงสร้างแนวโน้มได้ต่อเนื่อง
False Breakout คือกรณีที่ราคาทะลุผ่านระดับแนวรับ/แนวต้านชั่วคราว แต่กลับตัวอย่างรวดเร็ว มักจะทำให้นักเทรดมือใหม่ถูก “ล็อกสถานะ” รอราคาที่ไม่เป็นไปตามคาดการณ์ การรอราคากลับมาทดสอบซ้ำ (Retest) จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากกับดักเหล่านี้
3. การเกิดขึ้นของการทดสอบซ้ำ (Retest)
เมื่อเกิดการเบรคเอาท์แล้ว นักเทรดต้องติดตามพฤติกรรมราคาขณะที่อยู่ในช่วงทดสอบซ้ำ ซึ่งช่วงเวลาการทดสอบซ้ำนี้อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือกินเวลาหลายชั่วโมงจนถึงหลายวัน ในช่วงทดสอบซ้ำจะเกิดขึ้นดังนี้:
ราคาดึงกลับมาที่ระดับที่เพิ่งถูกเบรค
ระดับนั้นถูกทดสอบในฐานะแนวรับหรือแนวต้านใหม่
หากระดับดังกล่าวยังคงแข็งแกร่ง ราคามักจะเคลื่อนไหวต่อไปในทิศทางเดิม
แท่งเทียนในช่วงทดสอบซ้ำควรแสดงสัญญาณการปฏิเสธราคา เช่น หางยาว แท่งเทียนกลืนกิน (Engulfing) ขาขึ้นหรือขาลง หรือแท่ง Pin Bar ขึ้นอยู่กับทิศทางของการเทรด
การเข้าซื้อแบบรุกเร็ว (Aggressive Entry)
การเข้าซื้อแบบรุกเร็วมักหมายถึงการเปิดออเดอร์ทันทีที่ราคามาแตะระดับทดสอบซ้ำ (Retest) โดยไม่รอการยืนยันจากแท่งเทียน ซึ่งช่วยให้สามารถตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ได้ใกล้กว่า และเข้าซื้อได้เร็วกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงสูงหากระดับนั้นไม่สามารถยืนได้
วิธีนี้เหมาะกับกรณีที่:
แรงโมเมนตัมของราคาแข็งแกร่ง
ระดับดังกล่าวได้รับการยอมรับและเคารพในหลายกรอบเวลา
ใช้ขนาดสัญญาเล็ก หรือใช้ Trailing Stop เพื่อลดความเสี่ยง
การเข้าซื้อแบบระมัดระวัง (Conservative Entry)
การเข้าซื้อแบบระมัดระวัง คือการรอยืนยันสัญญาณก่อนเข้าทำรายการ ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นการรอรูปแบบแท่งเทียนหรือการทะลุผ่านแท่งเทียนปฏิเสธแท่งแรก วิธีนี้ช่วยให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น แต่บางครั้งก็ทำให้ต้องตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ไว้ในระยะที่กว้างกว่า
สัญญาณที่ควรมองหา ได้แก่:
รูปแบบแท่งเทียนกลืนกินขาขึ้นหรือลง (Bullish/Bearish Engulfing)
แท่ง Pin Bar หรือ Hammer
รูปแบบกลับตัวในกราฟ เช่น Double Bottom หรือ Flag
การรอยืนยันสัญญาณช่วยเพิ่มอัตราการชนะ แต่ก็อาจทำให้พลาดโอกาสบางส่วนเพราะเข้าช้า
การวางตำแหน่ง Stop Loss
ตำแหน่งที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับการตั้งจุดตัดขาดทุนในกลยุทธ์ Break and Retest คือการวางไว้เลยระดับที่เพิ่งถูกทดสอบซ้ำ สำหรับการซื้อ (Long) ให้ตั้งจุดตัดขาดทุนไว้ต่ำกว่าระดับแนวรับใหม่เล็กน้อย ส่วนการขาย (Short) ให้ตั้งจุดตัดขาดทุนไว้เหนือระดับแนวต้านใหม่เล็กน้อย
ควรหลีกเลี่ยงการตั้งจุดตัดขาดทุนชิดเกินไป เพราะเสียงรบกวนของตลาดอาจทำให้ถูกตัดขาดทุนโดยไม่จำเป็น ควรเว้นระยะเล็กน้อยเพื่อป้องกันการโดนตัดขาดทุนหลอก
เป้าหมายการทำกำไร
กำหนดเป้าหมายทำกำไรที่จุดสูงสุดหรือต่ำสุดก่อนหน้า, ระดับ Fibonacci Extension หรือเลขกลม ๆ หลายเทรดเดอร์นิยมใช้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Risk-Reward Ratio) อย่างน้อย 1:2 หรือ 1:3 เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไร
นอกจากนี้ยังสามารถทยอยปิดส่วนหนึ่งของออเดอร์ (Scaling Out) หรือใช้ Trailing Stop เพื่อตามราคาขณะที่ราคาขยับไปในทิศทางที่ได้กำไร
การเทรดตามเทรนด์
กลยุทธ์นี้จะได้ผลดีเป็นพิเศษเมื่อเทรดสอดคล้องกับแนวโน้มหลักของตลาด การเทรดเบรคเอาท์ในทิศทางเดียวกับเทรนด์ช่วยเพิ่มความมั่นใจและยืนยันสัญญาณ
ในกรณีแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend):
รอให้ราคาทะลุผ่านแนวต้านขึ้นไป
เข้าซื้อ (Long) หลังจากราคาทดสอบซ้ำแนวรับใหม่สำเร็จ
ในกรณีแนวโน้มขาลง (Downtrend):
รอให้ราคาทะลุผ่านแนวรับลงไป
เข้าขาย (Short) หลังจากราคาทดสอบซ้ำแนวต้านใหม่สำเร็จ
ควรหลีกเลี่ยงการเทรดเบรคเอาท์สวนทางกับเทรนด์หลัก เว้นแต่จะมีสัญญาณกลับตัวที่แข็งแกร่งชัดเจนสนับสนุน
แม้ว่ากลยุทธ์นี้จะเน้นการวิเคราะห์ราคาเปล่า (Naked Price Action) เป็นหลัก แต่ก็ยังมีเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในการหาจังหวะเข้าซื้อขายได้ ดังนี้:
เทรนด์ไลน์และเส้นแนวนอน (Horizontal Rays) เพื่อกำหนดระดับสำคัญ
ตัวบ่งชี้ปริมาณซื้อขาย (Volume Indicators) เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของการเบรคเอาท์
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เช่น EMA 50 หรือ EMA 200 เพื่อระบุทิศทางแนวโน้ม
ระดับ Fibonacci Retracement เพื่อหาโซนที่มีความสอดคล้อง (Confluence Zones) เพิ่มเติม
เครื่องมือจดจำรูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Pattern Recognition Tools) เพื่อยืนยันสัญญาณ
สรุปได้ว่า กลยุทธ์ Break and Retest ยังคงเป็นหนึ่งในวิธีการเทรดที่น่าเชื่อถือและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นมากที่สุดเมื่อต้องเทรดในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน กลยุทธ์นี้ไม่ได้พึ่งพาตัวชี้วัดมากนัก ช่วยให้นักเทรดฝึกอ่านราคาเปล่า (Raw Price Action) และเข้าใจพฤติกรรมของตลาดได้ดีขึ้น
ด้วยวินัย การฝึกฝน และความอดทน กลยุทธ์นี้สามารถกลายเป็นหัวใจสำคัญของระบบเทรดของคุณได้ ไม่ว่าคุณจะเทรดแบบสแกลป์ (Scalping), สวิงเทรด (Swing Trading) หรือถือครองระยะยาวก็ตาม
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
ค้นพบความหมายของการวางแผนการลงทุนและเรียนรู้กลยุทธ์ที่สามารถปฏิบัติได้จริงสำหรับทุกช่วงชีวิต ตั้งแต่ช่วงวัย 20 ปีจนถึงวัยเกษียณอายุ
2025-07-10กำลังมองหาการลงทุนในดัชนี CAC 40 อยู่หรือไม่? บทความนี้จะอธิบายโครงสร้างของดัชนี การแบ่งกลุ่มอุตสาหกรรม และข้อมูลเชิงลึกที่นักเทรดต้องรู้เพื่อให้ก้าวนำตลาดอยู่เสมอ
2025-07-10เรียนรู้วิธีการซื้อขายแบบทีละขั้นตอน ตั้งแต่พื้นฐานตลาดไปจนถึงกลยุทธ์และความเสี่ยง ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้เริ่มต้นสร้างทักษะการซื้อขายที่แท้จริงและยั่งยืน
2025-07-10