เจาะลึกประเภทการเทรดที่ทำกำไรที่สุดปี 2025

2025-06-04
สรุป

สำรวจประเภทการเทรดสุดฮิตปี 2025 ตั้งแต่ Forex ไปถึงออปชัน พร้อมค้นหากลยุทธ์ที่ใช่ เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไรสูงสุดในปีนี้

ในปี 2025 ภาพรวมของวงการเทรดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ภายใต้แรงผลักดันจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง และพฤติกรรมนักเทรดที่แตกต่างไปจากเดิม นักเทรดในปัจจุบันจึงมองหากลยุทธ์ที่สามารถสร้างผลกำไรอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งปรับตัวได้กับสภาพตลาดที่ผันผวนอยู่ตลอดเวลา


บทความนี้จะพาผู้อ่านไปสำรวจ 7 ประเภทการเทรดที่ทำกำไรได้ดีที่สุดในปี 2025 พร้อมเจาะลึกกลไกข้อดีและข้อควรพิจารณาก่อนเริ่มต้น


อย่างไรก็ตาม ควรทราบว่าอัตราผลตอบแทนต่อปีที่ระบุนั้นขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด ทักษะ เงินทุน และระดับความเสี่ยง ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงและการบริหารแบบเชิงรุก ไม่ใช่การลงทุนแบบพาสซีฟ


7 ประเภทการเทรดที่ทำกำไรสูงที่สุดในปี 2025

ประเภทการเทรดที่ทำกำไรได้มากที่สุด


1. การเทรดด้วยอัลกอริทึม: ใช้เทคโนโลยีเพื่อความแม่นยำ

การเทรดด้วยอัลกอริทึม (Algorithmic Trading) คือการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการส่งคำสั่งซื้อขายตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ในปี 2025 วิธีนี้ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากสามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลและส่งคำสั่งซื้อขายในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้อย่างแม่นยำ


คุณสมบัติหลัก :

  • รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ: อัลกอริทึมสามารถวิเคราะห์สภาวะตลาดและส่งคำสั่งซื้อขายภายในเสี้ยววินาที จึงคว้าโอกาสที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆได้ทันที

  • ลดอคติจากอารมณ์: การใช้กฎที่กำหนดไว้ล่วงหน้าช่วยลดผลกระทบจากอารมณ์ของมนุษย์ในการตัดสินใจเทรด

  • สามารถทดสอบย้อนหลัง (Backtest): เทรดเดอร์สามารถนำกลยุทธ์ไปทดสอบกับข้อมูลในอดีตเพื่อประเมินประสิทธิภาพ ก่อนนำไปใช้จริงในตลาด


ข้อควรพิจารณา:

  • ต้องมีความรู้ด้านเทคนิค: การพัฒนาและดูแลระบบอัลกอริทึมต้องอาศัยความเข้าใจด้านการเขียนโปรแกรมและตลาดการเงินอย่างลึกซึ้ง

  • สภาพตลาดเปลี่ยนแปลง: ระบบอัลกอริทึมต้องได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและไม่ล้าสมัย


ผลตอบแทนโดยประมาณต่อปี: 15–40 %


2. การเทรดแบบสวิง (Swing Trading): เก็บกำไรจากแนวโน้มระยะสั้นถึงกลาง

การเทรดแบบสวิงคือการถือครองสถานะตั้งแต่ไม่กี่วันไปจนถึงหลายสัปดาห์ โดยมีเป้าหมายเพื่อเก็บกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่คาดการณ์ไว้ กลยุทธ์นี้ผสมผสานความเร็วของ Day Trade เข้ากับวิธีลงทุนแบบระยะยาวได้อย่างลงตัว


คุณสมบัติหลัก :

  • ความยืดหยุ่น: สามารถใช้ได้กับตลาดหุ้น Forex และสินค้าโภคภัณฑ์

  • การวิเคราะห์ทางเทคนิค: เครื่องมืออย่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) และรูปแบบกราฟช่วยระบุจุดเข้า-ออก

  • การจัดการความเสี่ยง: การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และเป้าหมายกำไร (Take Profit) ช่วยลดความเสี่ยง


ข้อควรพิจารณา :

  • ความผันผวนของตลาด: เหตุการณ์เศรษฐกิจที่ไม่คาดคิดอาจส่งผลกระทบต่อสถานะที่ถืออยู่

  • ต้องใช้ความอดทน: ต้องรอให้ราคาพัฒนาไปตามแผน จึงต้องมีวินัยในการถือสถานะ


ผลตอบแทนต่อปีโดยประมาณ : 12–25%


3. การเทรดแบบ Scalping: ทำกำไรจากการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ

การเทรดความถี่สูงที่เรียกว่า Scalping คือการเปิด-ปิดออร์เดอร์จำนวนมากภายในวัน เพื่อทำกำไรจากความผันผวนเล็กน้อยของราคา โดยเฉพาะในตลาด Forex และคริปโต


คุณสมบัติหลัก :

  • ปริมาณการซื้อขายสูง: นักเทรดทำการซื้อขายหลายสิบถึงหลายร้อยครั้งต่อวัน

  • ถือสถานะระยะสั้น: ถือเพียงไม่กี่วินาทีถึงไม่กี่นาที ลดความเสี่ยงจากตลาด

  • เหมาะกับตลาดที่มีสภาพคล่องสูง: เช่น Forex ซึ่งการเข้าออกออร์เดอร์เป็นไปอย่างรวดเร็ว


ข้อควรพิจารณา :

  • ต้นทุนค่าธรรมเนียมสูง: การซื้อขายถี่ส่งผลให้ค่าคอมมิชชั่นสะสมสูงขึ้น

  • ต้องเฝ้าหน้าจอตลอด: ต้องจับตาความเคลื่อนไหวของราคาและตัดสินใจอย่างรวดเร็ว


ผลตอบแทนต่อปีโดยประมาณ : 10–20% (หลังหักค่าธรรมเนียม)


4. การติดตามแนวโน้ม (Trend Following): เทรดตามคลื่นราคากลยุทธ์การติดตามแนวโน้ม

กลยุทธ์นี้เน้นการตามแนวโน้มของตลาด โดยซื้อในช่วงขาขึ้นและขายในช่วงขาลง เหมาะกับสินทรัพย์หลากหลายประเภท


คุณสมบัติหลัก :

  • ความเรียบง่าย: หลักการพื้นฐานคือ "ซื้อตามขาขึ้น ขายตามขาลง"  ทำให้นักเทรดทุกระดับสามารถเข้าถึงได้

  • อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค: เครื่องมือต่าง ๆ เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่และดัชนี ADX ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของแนวโน้ม

  • ศักยภาพในการทำกำไรมาก: หากเข้าแนวโน้มถูกจังหวะ สามารถถือสถานะและเก็บกำไรได้เต็มช่วง


ข้อควรพิจารณา :

  • สัญญาณหลอก: ตลาดอาจมีการแกว่งสั้น ๆ ที่ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นการกลับตัว

  • การเข้าและออกที่ล่าช้า: การรอการยืนยันแนวโน้มอาจส่งผลให้เข้าหรือออกช้ากว่าที่คู่ควร


ผลตอบแทนต่อปีโดยประมาณ : 15–35%


5. การเทรดออปชัน (Options Trading): กลยุทธ์ยืดหยุ่นพร้อมเลเวอเรจ

ออปชันคือสัญญาที่ให้สิทธิ (แต่ไม่ใช่ข้อผูกพัน) ในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ตามราคาที่กำหนด ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักเทรดเชิงกลยุทธ์


คุณสมบัติหลัก :

  • การจัดการความเสี่ยง: ออปชันสามารถป้องกันความเสี่ยงจากการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนอื่นๆ ได้

  • ความหลากหลายเชิงกลยุทธ์: กลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น Straddle, Strangle, Spread ฯลฯ ทำกำไรได้ในหลายสภาพตลาด

  • เลเวอเรจ: ออปชันช่วยให้สามารถควบคุมตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้นด้วยการลงทุนเงินทุนที่น้อยลง


ข้อควรพิจารณา :

  • ความซับซ้อน: การทำความเข้าใจความแตกต่างของราคาและกลยุทธ์ของออปชันต้องอาศัยการศึกษาและประสบการณ์

  • ความอ่อนไหวต่อเวลา: การจัดการเวลาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะออปชันมีอายุจำกัด


ผลตอบแทนต่อปีโดยประมาณ : 20–50%


6. การเทรดตามข่าว (News-Based Trading): เทรดตามปัจจัยกระตุ้นตลาด

การเทรดตามข่าวเน้นการซื้อขายตามข้อมูลใหม่ เช่น รายงานเศรษฐกิจ ข่าวบริษัท หรือเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยหวังผลจากการตอบสนองของตลาด


คุณสมบัติหลัก :

  • โอกาสที่ทันท่วงที: ข่าวสารที่สำคัญสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงราคาอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีศักยภาพในการสร้างผลกำไรอย่างรวดเร็ว

  • การใช้งานได้หลายตลาด: ใช้ได้กับตลาด Forex หุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ ที่มีผลกระทบจากข่าวสารอย่างชัดเจน

  • ทักษะการวิเคราะห์: ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความสามารถในการตีความข่าวสารและคาดการณ์ปฏิกิริยาของตลาด


ข้อควรพิจารณา :

  • ความผันผวน: เหตุการณ์ข่าวสารสามารถทำให้ตลาดผันผวนอย่างไม่สามารถคาดเดาได้ ส่งผลให้มีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น

  • ข้อมูลมากเกินไป: การกรองข่าวที่เกี่ยวข้องจากข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงการซื้อขายที่เข้าใจผิด


ผลตอบแทนต่อปีโดยประมาณ : 10–30%


7. การเทรดเชิงปริมาณ (Quantitative Trading): การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

การซื้อขายเชิงปริมาณเทียบกับการซื้อขายอัลกอริทึม

การเทรดเชิงปริมาณคือการใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์และสถิติในการระบุจุดซื้อขายที่มีโอกาสทำกำไร นิยมใช้ในกองทุนเฮดจ์ฟันด์ บริษัทเทรดและนักเทรดรายย่อยที่ใช้เครื่องมือสมัยใหม่


คุณสมบัติหลัก :

  • ใช้ AI และ Machine Learning: เพิ่มความแม่นยำในการพยากรณ์

  • ผสาน Big Data: วิเคราะห์ข้อมูลจากข่าว โซเชียลมีเดีย และโครงสร้างตลาด

  • การเติบโตของนักเทรดสาย Quant รายย่อย: เข้าถึงแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สได้มากขึ้น


แนวทางที่นิยม :

  • การกลับสู่ค่าเฉลี่ย (Mean Reversion)

  • การเทรดตามโมเมนตัม

  • การเทรดแบบคู่ (Pairs Trading)


ข้อควรพิจารณา :

  • การตั้งค่าที่ซับซ้อน

  • การปรับโมเดลให้เข้ากับข้อมูลในอดีตมากเกินไป อาจลดความแม่นยำในโลกแห่งความเป็นจริง


ผลตอบแทนต่อปีโดยประมาณ : 15–45%  โดยเฉพาะในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง เช่น S&P 500


สรุป


สรุปแล้ว กลยุทธ์การเทรดที่ให้ผลกำไรมากที่สุดในปี 2025 คือกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับลักษณะของนักเทรดแต่ละคน สภาพตลาด และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี


ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบอัลกอริทึม การทำกำไรจากแนวโน้ม หรือการตอบสนองต่อข่าวสาร ความสำเร็จล้วนขึ้นอยู่กับการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การลงมืออย่างมีวินัย และการปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์อยู่เสมอ เมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลง การติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดและการมีความยืดหยุ่นจะยังคงเป็นสิ่งสำคัญต่อความสามารถในการทำกำไรอย่างสม่ำเสมอ


คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

การซื้อขาย CFD สำหรับผู้เริ่มต้น: คู่มือเริ่มต้นทีละขั้นตอน

การซื้อขาย CFD สำหรับผู้เริ่มต้น: คู่มือเริ่มต้นทีละขั้นตอน

เรียนรู้การซื้อขาย CFD สำหรับผู้เริ่มต้นในคู่มือที่ครอบคลุมนี้ ค้นพบพื้นฐาน กลยุทธ์ และเคล็ดลับในการเริ่มซื้อขายสัญญาส่วนต่างในวันนี้

2025-06-06
วิธีเรียนรู้การซื้อขายรายวันและทำมันเพื่อเลี้ยงชีพในที่สุด

วิธีเรียนรู้การซื้อขายรายวันและทำมันเพื่อเลี้ยงชีพในที่สุด

เรียนรู้วิธีการซื้อขายรายวันเพื่อหาเลี้ยงชีพ ตั้งแต่การสร้างกลยุทธ์และจัดการความเสี่ยงไปจนถึงการสร้างกิจวัตรประจำวัน และการหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั่วไปที่ผู้เริ่มต้นมักทำ

2025-06-06
สกุลเงิน CHF คืออะไร และเหตุใดจึงมีเสถียรภาพมาก?

สกุลเงิน CHF คืออะไร และเหตุใดจึงมีเสถียรภาพมาก?

ค้นพบว่าสกุลเงิน CHF คืออะไร รากฐานทางประวัติศาสตร์ เหตุใดจึงมีเสถียรภาพ และเคล็ดลับสำคัญสำหรับผู้ค้าที่ต้องการสำรวจฟรังก์สวิสในตลาดโลก

2025-06-06