เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-29
หุ้น Nvidia พุ่งเกือบ 5% สู่ระดับ 201.03 ดอลลาร์ หลังบริษัทประกาศลงทุนมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ใน Nokia ของฟินแลนด์ นับเป็นหนึ่งในก้าวยุทธศาสตร์สำคัญที่ขยายออกไปไกลกว่าธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ของบริษัท

ในขณะเดียวกัน หุ้นของ Nokia ก็ทะยานขึ้นประมาณ 20.9% สู่ระดับ 6.59 ยูโร หลังมีการประกาศข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งถือเป็นระดับราคาสูงสุดในรอบเกือบสิบปี

ข้อตกลงนี้ได้จุดประกายความเชื่อมั่นในทั้งภาคเทคโนโลยีและโทรคมนาคม โดยนักลงทุนมองว่าเป็นอีกก้าวของการหลอมรวมระหว่างการประมวลผลด้วย AI และ เครือข่ายยุคถัดไป
Nvidia ยืนยันการเข้าซื้อหุ้นใหม่ของ Nokia มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ราคาหุ้นละ 6.01 ดอลลาร์ ทำให้ Nvidia ถือครองหุ้นประมาณ 2.9% ของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมจากฟินแลนด์รายนี้ ข้อตกลงนี้ยังรวมถึงความร่วมมือด้านเทคโนโลยี เพื่อผสานแพลตฟอร์มการประมวลผล AI ของ Nvidia เข้ากับโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายและเทคโนโลยี 5G/6G ของ Nokia
เป้าหมายหลักของพันธมิตรครั้งนี้คือการพัฒนา “สถาปัตยกรรมเครือข่ายที่ขับเคลื่อนด้วย AI (AI-native network architectures)” ซึ่งระบบแมชชีนเลิร์นนิงจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเส้นทางข้อมูล การใช้พลังงาน และความเสถียรของเครือข่าย
สำหรับ Nokia การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นการเสริมทุนใหม่ให้กับโครงการปฏิรูปองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI ส่วน Nvidia ได้สร้างจุดยืนเชิงกลยุทธ์ในโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ขยายขอบเขตจากศูนย์ข้อมูล (data centers) ไปสู่เครือข่ายระดับโลก
| ข้อมูลสำคัญ | รายละเอียด |
|---|---|
| มูลค่าการลงทุน | 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ |
| สัดส่วนการถือหุ้น | ประมาณ 2.9% ของ Nokia หลังการออกหุ้นใหม่ |
| ราคาหุ้นที่ซื้อ | 6.01 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น |
| วัตถุประสงค์ | พัฒนาเครือข่ายที่ขับเคลื่อนด้วย AI และบูรณาการโครงสร้างพื้นฐาน |
| ผลกระทบเชิงกลยุทธ์ | ขยายขอบเขตโครงสร้างพื้นฐาน AI ของ Nvidia สู่ภาคโทรคมนาคมและเครือข่าย Edge |

นักวิเคราะห์ระบุว่า ความร่วมมือครั้งนี้มีความสำคัญทั้งในเชิงสัญลักษณ์และการเงิน ในเชิงสัญลักษณ์ ข้อตกลงนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของ Nvidia ที่จะควบคุมระบบนิเวศของการส่งมอบเทคโนโลยี AI อย่างครบวงจร ตั้งแต่ชิปประมวลผล ระบบคลาวด์ ไปจนถึงเครือข่ายการส่งข้อมูล
ในเชิงการเงิน ความร่วมมือนี้เปิดประตูสู่ตลาดใหม่ที่มีมูลค่ารวม (Total Addressable Market) มากกว่า 150 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 ซึ่งขับเคลื่อนโดยการใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบโทรคมนาคม การจัดเส้นทางอัจฉริยะ และการผสานระบบคลาวด์กับเครือข่ายขอบ (cloud-edge integration) [2]
จากมุมมองของอุตสาหกรรม ความร่วมมือกับ Nokia อาจช่วยให้รายได้ของ Nvidia ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายเติบโตได้สูงถึง 7% ต่อปี เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2027 หากดำเนินการได้อย่างราบรื่น การเติบโตในระดับนี้ถือเป็นแรงสนับสนุนสำคัญต่อการคงไว้ซึ่งมูลค่าประเมินระดับพรีเมียมของ Nvidia แม้ในภาวะตลาดที่มีความผันผวน
นอกจากนี้ ความร่วมมือนี้ยังเปิดโอกาสให้ Nvidia ขยายการใช้งานเทคโนโลยี CUDA และ Spectrum-X ไปยังฮาร์ดแวร์เครือข่ายประเภทใหม่ ซึ่งจะช่วยเสริมรายได้ประจำจากซอฟต์แวร์และบริการของบริษัท ปัจจัยหลักที่ผลักดันการขยายอัตรากำไร (margin expansion) ในระยะยาว

ความร่วมมือกับ Nokia ถือเป็นการขยายระบบนิเวศครั้งสำคัญของ Nvidia ต่อจากข้อตกลงกับ CoreWeave และ OpenAI แต่สิ่งที่แตกต่างในครั้งนี้คือ การเคลื่อนไหวดังกล่าวช่วยให้ Nvidia เข้าใกล้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคมมากขึ้น อุตสาหกรรมที่เดิมขับเคลื่อนด้วยฮาร์ดแวร์แต่กำลังเปลี่ยนทิศทางไปสู่ระบบอัตโนมัติที่ใช้ AI เป็นตัวขับเคลื่อน
ด้วยการฝัง ความสามารถด้านการประมวลผลแบบ AI Inference ลงในชั้นของเครือข่ายโดยตรง Nvidia สามารถช่วยให้บริษัทโทรคมนาคมลดความหน่วงของสัญญาณ (latency) เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการทราฟฟิก และสร้างรายได้จากบริการข้อมูลพรีเมียมได้มากขึ้น ในทางปฏิบัติ หมายความว่า ชิปและซอฟต์แวร์ของ Nvidia จะกลายเป็นองค์ประกอบหลักไม่เพียงในคลัสเตอร์ฝึกสอน AI เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสถานีฐานอัจฉริยะและโครงข่ายแกนกลางของระบบโทรศัพท์มือถือทั่วโลก
สำหรับนักลงทุน การพัฒนาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า มูลค่าหุ้น Nvidia ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัฏจักรของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ยังเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจดิจิทัลเชิงโครงสร้างพื้นฐานในภาพรวม
แม้ว่าตลาดจะตอบรับอย่างชื่นชมต่อการขยายตัวเชิงรุกของ Nvidia แต่นักวิเคราะห์เตือนว่ายังมีความเสี่ยงด้านการดำเนินงานและกฎระเบียบที่ต้องเฝ้าระวัง การลงทุนข้ามพรมแดนในโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมมักอยู่ภายใต้การตรวจสอบของหน่วยงานกำกับ โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับ ทรัพย์สินเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ เช่น เทคโนโลยี 5G
นอกจากนี้ การผสานระบบ AI เข้ากับเครือข่ายขนาดใหญ่ยังมีความท้าทายทั้งด้านเทคนิคและเชิงพาณิชย์ เช่น การปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ต้นทุนในการติดตั้ง และความเข้ากันได้ของระบบระหว่างผู้ให้บริการต่าง ๆ
| หมวดหมู่ | ปัจจัยบวก (Catalyst) | ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น |
|---|---|---|
| เชิงกลยุทธ์ | ตลาดเครือข่ายใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ร่วมกับ Nokia | อุปสรรคด้านกฎระเบียบในภาคโทรคมนาคม |
| เชิงการเงิน | แหล่งรายได้เพิ่มเติมและอัตรากำไรจากซอฟต์แวร์ | ความล่าช้าในการดำเนินงานและต้นทุนการผสานระบบ |
| เชิงตลาด | เสริมความน่าเชื่อถือของระบบนิเวศ AI | ความผันผวนของการประเมินมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีระดับโลก |
ถึงแม้จะมีความเสี่ยงเหล่านี้ แต่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังคงแข็งแกร่ง นักวิเคราะห์คาดว่าตัวกระตุ้นสำคัญครั้งต่อไปจะอยู่ที่แนวโน้มกำไรไตรมาส 4 ของ Nvidia ซึ่งนักลงทุนจะจับตาสัญญาณเริ่มต้นของการเกิดซินเนอร์จี และแผนการลงทุนทุนระยะยาว (Cap-Ex) ที่อาจได้รับการอัปเดตจากทั้งสองบริษัท
พันธมิตรระหว่าง Nvidia และ Nokia สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวของ Nvidia ที่ต้องการครอบคลุมทุกมิติของเศรษฐกิจด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI Economy) ด้วยการเชื่อมช่องว่างระหว่างการประมวลผล (Computing) และการสื่อสาร (Communication) บริษัทจึงก้าวข้ามจากการเป็นเพียง “ผู้ผลิตชิป” ไปสู่บทบาทของผู้ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐาน AI (AI Infrastructure Enabler) อย่างเต็มรูปแบบ
สำหรับนักลงทุน ความร่วมมือนี้ตอกย้ำแนวคิดที่ว่า การเติบโตของ Nvidia กำลังก้าวสู่ช่วงโครงสร้างใหม่ ซึ่งมูลค่าไม่ได้อยู่แค่ในชิปอีกต่อไป แต่ยังอยู่ในวิธีที่ชิปเหล่านั้นช่วยขับเคลื่อนระบบอัจฉริยะในหลากหลายอุตสาหกรรม
ราคาหุ้น Nvidia ปรับขึ้นเนื่องจากนักลงทุนมองว่าการลงทุน มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ใน Nokia เป็นการขยายฐานธุรกิจของบริษัทสู่เครือข่ายโทรคมนาคมที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งชี้ถึงโอกาสการเติบโตของรายได้ในระยะยาวและการผสานระบบนิเวศที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
หุ้นของ Nokia พุ่งขึ้นประมาณ 20.9% หลังจากมีการประกาศความร่วมมือ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของตลาดในข้อตกลงดังกล่าว การปรับขึ้นนี้ช่วยยืนยันเหตุผลเชิงกลยุทธ์ที่อยู่เบื้องหลังการปรับตัวขึ้นของหุ้น Nvidia เช่นกัน [3]
นักวิเคราะห์คาดว่าความร่วมมือนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าการประเมินของหุ้น Nvidia เนื่องจากบริษัทจะมีส่วนร่วมมากขึ้นในตลาดโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่ามากกว่า 150 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030
หุ้น Nvidia มีแนวโน้มที่จะได้รับแรงหนุนต่อเนื่องจากกำไรที่แข็งแกร่งและแรงส่งในภาคเทคโนโลยี AI อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระวังความเสี่ยงด้านการผสานระบบ และระดับการประเมินมูลค่าที่สูง
ความเสี่ยงหลัก ได้แก่ อุปสรรคด้านกฎระเบียบในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ความล่าช้าในการผสานระบบ AI เข้ากับเครือข่าย และความผันผวนของตลาดโลก ที่อาจส่งผลต่อการประเมินมูลค่าหุ้นเทคโนโลยี
นักลงทุนที่เชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของ Nvidia ในฐานะผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI อาจมองว่าข้อตกลงนี้เป็นปัจจัยกระตุ้นการเติบโต (Growth Catalyst) แต่ก็ยังควรรักษาความสมดุลระหว่างความเชื่อมั่นกับการประเมินมูลค่าที่เหมาะสม
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ