เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-23 อัปเดตเมื่อ: 2025-10-24
การเทรด Forex อาจให้ความรู้สึกเหมือนการเรียนรู้ภาษาใหม่ ทุกคำเสนอราคาก็เปรียบเสมือนประโยคหนึ่ง และแต่ละคู่สกุลเงินต่างบอกเล่า “เรื่องราว” เกี่ยวกับมูลค่า ความแข็งแกร่ง และความเชื่อมั่นระหว่างประเทศต่าง ๆ เพื่อจะอ่านเรื่องราวนั้นได้อย่างถูกต้อง เทรดเดอร์จำเป็นต้องเข้าใจทั้งสองตัวละครในคู่สกุลเงิน ได้แก่ สกุลเงินหลัก (Base Currency) และ สกุลเงินรอง (Counter Currency)
สกุลเงินรองคือ “พาร์ทเนอร์ที่เงียบ” ในการเทรดทุกครั้ง มันเป็นตัวกำหนดอย่างเงียบ ๆ ว่า 1 หน่วยของสกุลเงินหลักมีค่าเท่าใด สำหรับผู้ที่กำลังเรียนรู้การเทรดหรือการตีความตลาด Forex การเข้าใจบทบาทของสกุลเงินรองถือเป็นพื้นฐานสำคัญ หากละเลยส่วนนี้ เทรดเดอร์อาจตีความการเคลื่อนไหวของราคา กำไร หรือแม้แต่ความเสี่ยงได้ผิดพลาด ต่อไป มาทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่า สกุลเงินรองทำงานอย่างไรในโลกจริง และทำไมมันจึงมีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดราคาในตลาด Forex

ในการเทรด Forex สกุลเงินจะถูกเสนอราคาเป็น “คู่” เสมอ เพราะทุกธุรกรรมหมายถึงการ “ซื้อ” สกุลเงินหนึ่งและ “ขาย” อีกสกุลเงินหนึ่งไปพร้อมกัน สกุลเงินตัวแรกเรียกว่า สกุลเงินหลัก (Base Currency) ส่วนสกุลเงินตัวที่สองเรียกว่า สกุลเงินรอง (Counter Currency) หรือบางครั้งเรียกว่า สกุลเงินอ้างอิง (Quote Currency)
หากคู่เงิน EUR/USD = 1.10 หมายความว่า 1 ยูโร (สกุลเงินหลัก) มีค่าเท่ากับ 1.10 ดอลลาร์สหรัฐ (สกุลเงินรอง) อัตราแลกเปลี่ยนจึงแสดงถึงจำนวนของสกุลเงินรองที่ต้องใช้ในการซื้อสกุลเงินหลักหนึ่งหน่วย ในตัวอย่างนี้ ดอลลาร์คือสกุลเงินรองที่ใช้ “วัดมูลค่า” ของยูโร
สกุลเงินรองมีบทบาทสำคัญในการสร้าง “บริบท” ของราคา หากไม่มีมัน เราจะไม่สามารถบอกได้เลยว่าสกุลเงินใดแข็งค่าหรืออ่อนค่าลง ตัวอย่างเช่น เมื่อ EUR/USD ขยับจาก 1.10 → 1.12 หมายถึงยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ แต่เมื่อ USD/JPY ขยับจาก 150.00 → 151.00 หมายถึงดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ส่วนเยนอ่อนค่าลง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สกุลเงินรองคือสิ่งที่ “บอกทิศทางของความสัมพันธ์” ระหว่างสองสกุลเงิน
อัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate) บอกเสมอว่า ต้องใช้สกุลเงินรองจำนวนเท่าใดในการซื้อสกุลเงินหลักหนึ่งหน่วย เช่น หาก GBP/USD = 1.2500 หมายความว่าคุณต้องใช้ 1.25 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อ 1 ปอนด์อังกฤษ ถ้าอัตราขยับขึ้นเป็น 1.2600 แสดงว่าปอนด์แข็งค่าขึ้น เพราะต้องใช้เงินดอลลาร์มากขึ้นเพื่อซื้อปอนด์หนึ่งหน่วย
เมื่อเทรดเดอร์ดูราคาคู่เงินในตลาด Forex จะเห็นทั้ง ราคาซื้อ (Bid) และ ราคาขาย (Ask) ซึ่งแสดงในหน่วยของสกุลเงินรองทั้งหมด Bid คือจำนวนสกุลเงินรองที่ผู้ซื้อ “พร้อมจะจ่าย”ส่วน Ask คือจำนวนสกุลเงินรองที่ผู้ขาย “ต้องการรับ”ส่วนต่างระหว่างสองราคานี้ เรียกว่า สเปรด (Spread) ซึ่งก็ถูกคำนวณในหน่วยของสกุลเงินรองเช่นกัน
โครงสร้างนี้ใช้เหมือนกันในทุกคู่เงิน ไม่ว่าจะเป็นคู่หลักอย่าง EUR/USD, คู่รองอย่าง GBP/JPY, หรือคู่แปลกใหม่ (Exotic) เช่น USD/TRY
เพื่อดูว่าสิ่งนี้ใช้ได้ผลในทางปฏิบัติอย่างไร มาดูตัวอย่างบางส่วนกัน:
ถ้า EUR/USD = 1.10 หมายถึง 1 ยูโร = 1.10 ดอลลาร์สหรัฐ หากอัตราเพิ่มขึ้นเป็น 1.12 ยูโรจะแข็งค่าขึ้น เพราะต้องใช้ดอลลาร์มากขึ้นในการซื้อหนึ่งยูโร แต่หากลดลงเป็น 1.08 ยูโรจะแข็งค่าน้อยลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์
ถ้า USD/JPY = 150.00 หมายถึง 1 ดอลลาร์สหรัฐ = 150 เยนญี่ปุ่น ถ้าเพิ่มขึ้นเป็น 151.00 แสดงว่าดอลลาร์แข็งค่าขึ้น เพราะสามารถซื้อเยนได้มากกว่าเดิม ในคู่เงินนี้ เยนคือสกุลเงินรอง ดังนั้นเมื่อค่าตัวเลขเพิ่มขึ้น หมายถึงเยนอ่อนค่าลง
ถ้า GBP/CHF = 1.1350 หมายถึง 1 ปอนด์อังกฤษ = 1.1350 ฟรังก์สวิส เมื่ออัตราเพิ่มขึ้น ปอนด์แข็งค่าขึ้น แต่เมื่ออัตราลดลง ฟรังก์จะเป็นฝ่ายแข็งค่าขึ้น
แม้ว่าประเทศต่าง ๆ อาจมีรูปแบบการเสนอราคาแตกต่างกัน แต่บทบาทของสกุลเงินรอง (Counter Currency) ยังคงเหมือนเดิมเสมอ มันคือ “ป้ายราคา” ที่บอกว่าต้องใช้เงินเท่าใดในการซื้อสกุลเงินหลักหนึ่งหน่วยนั่นเอง
ในการเทรด Forex กำไรและขาดทุนจะถูกคำนวณในหน่วยของสกุลเงินรอง (Counter Currency) เพราะการเปลี่ยนแปลงของราคาทั้งหมดเกิดขึ้นในรูปของสกุลเงินนั้น ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อ EUR/USD ที่ราคา 1.1000 แล้วขายที่ 1.1200 กำไรต่อหน่วยของคุณจะถูกวัดเป็นดอลลาร์สหรัฐ (USD) ซึ่งเป็นสกุลเงินรองในคู่เงินนี้
สมมติว่าคุณซื้อ 1 ล็อตมาตรฐาน (100,000 EUR) ที่ราคา 1.1000 แล้วปิดสถานะที่ 1.1200 คุณจะได้กำไร 200 pips โดยในคู่เงินนี้ 1 pip มีมูลค่า 10 ดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นกำไรของคุณคือ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ หากบัญชีเทรดของคุณเป็นสกุลเงินปอนด์ (GBP) ระบบแพลตฟอร์มจะทำการแปลงกำไรนั้นเป็นปอนด์โดยอัตโนมัติ ตามอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน
การเข้าใจว่าสกุลเงินใดคือ “สกุลเงินรอง” ช่วยให้คุณสามารถประเมินผลกำไรหรือขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นก่อนเปิดเทรดได้อย่างถูกต้อง ถือเป็นส่วนสำคัญของการบริหารความเสี่ยงที่ดี
เทรดเดอร์ส่วนใหญ่เริ่มจากคู่เงินที่มี ดอลลาร์สหรัฐ (USD) แต่ในตลาดยังมีคู่เงินอีกหลายประเภทที่ไม่มีดอลลาร์อยู่ในนั้น เรียกว่า คู่เงินครอส (Cross Pairs) เช่น EUR/JPY, GBP/AUD, และ NZD/CAD ในกรณีนี้ ทั้งสองสกุลเงินไม่ได้เป็นดอลลาร์ ดังนั้นอัตราแลกเปลี่ยนจะคำนวณโดยใช้ USD เป็นตัวกลาง
ตัวอย่างเช่น การคำนวณ EUR/JPY จะมาจากข้อมูลของ EUR/USD และ USD/JPY
หาก EUR/USD = 1.10 และ USD/JPY = 150.00
จะได้ว่า EUR/JPY ≈ 1.10 × 150.00 = 165.00
ในที่นี้ JPY คือสกุลเงินรอง วิธีนี้เรียกว่า Triangulation (การคำนวณสามทาง) ซึ่งช่วยให้ราคาในตลาด Forex ทั่วโลกมีความสอดคล้องกัน
เนื่องจากคู่เงินครอสไม่ได้เกี่ยวข้องกับดอลลาร์โดยตรง พวกมันจึงมักมีความผันผวน (Volatility) และสภาพคล่อง (Liquidity) ที่แตกต่างจากคู่หลัก เทรดเดอร์จึงควรตระหนักว่า การเคลื่อนไหวของสกุลเงินรองอาจทำให้ความผันผวนโดยรวมของคู่เงินนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้
สกุลเงินรองมีบทบาทสำคัญต่อ “จิตวิทยาตลาด” และ “กระแสเงินทุนทั่วโลก” เมื่อใดที่นักลงทุนต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (Risk-off) สกุลเงินอย่างดอลลาร์สหรัฐ (USD), ฟรังก์สวิส (CHF) หรือ เยนญี่ปุ่น (JPY) มักแข็งค่าขึ้นในฐานะสกุลเงินรองของคู่หลักต่าง ๆ ในทางกลับกัน เมื่อความเชื่อมั่นของตลาดกลับมา (Risk-on) สกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) หรือ ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) มักมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
ในปี 2025 ดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นสกุลเงินรองที่ทรงอิทธิพลที่สุด เนื่องจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่สูง และการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐที่แข็งแกร่ง นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และแนวโน้มเงินเฟ้อ จึงมักเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความผันผวนอย่างมากในคู่เงินที่อิงกับ USD เช่น EUR/USD และ GBP/USD เทรดเดอร์ที่เข้าใจบทบาทของสกุลเงินรองในบริบทระดับโลก จะสามารถคาดการณ์ผลกระทบของการประกาศนโยบายหรือข้อมูลเศรษฐกิจต่อแนวโน้มราคาคู่เงินได้ดียิ่งขึ้น และเทรดอย่างมีมุมมองเชิงกลยุทธ์มากกว่าเดิม

สกุลเงินหลัก (Base Currency) คือสกุลเงินตัวแรกในคู่ ส่วนสกุลเงินรอง (Counter Currency) คือสกุลเงินตัวที่สอง อัตราแลกเปลี่ยนจะแสดงให้เห็นว่า ต้องใช้สกุลเงินรองจำนวนเท่าใดในการซื้อสกุลเงินหลักหนึ่งหน่วย
เพราะมันเป็นตัวกำหนดวิธีการเสนอราคาและคำนวณกำไรขาดทุน หากไม่เข้าใจว่าสกุลเงินใดเป็นสกุลเงินรอง เทรดเดอร์อาจตีความการเคลื่อนไหวของราคาได้ผิดพลาด
ไม่เสมอไป ดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินรองที่ใช้บ่อยที่สุดก็จริง แต่คู่เงินอย่าง EUR/JPY หรือ GBP/AUD ก็ใช้สกุลเงินอื่นเป็นสกุลเงินรองได้เช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเสนอราคาในตลาด
สกุลเงินรองคือสิ่งที่ช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็น “มุมมองที่ครบถ้วน” ของราคาคู่เงิน มันทำให้ความสัมพันธ์ของราคาถูกนิยามอย่างสมบูรณ์ เมื่อเข้าใจบทบาทของสกุลเงินรอง เทรดเดอร์จะสามารถตีความการเคลื่อนไหวของราคาได้อย่างถูกต้อง คำนวณกำไรได้ชัดเจน และตอบสนองต่อเหตุการณ์เศรษฐกิจมหภาคได้อย่างเหมาะสม
ไม่ว่าคุณจะเทรดคู่เงินหลัก คู่เงินรอง หรือคู่ครอส สิ่งสำคัญคือ ต้องรู้ก่อนเสมอว่าสกุลเงินใดเป็นสกุลเงินรอง เพื่อจะเข้าใจได้ว่าการที่อัตราแลกเปลี่ยน “เพิ่มขึ้น” หมายถึงสกุลเงินหลักแข็งค่าขึ้น หรือสกุลเงินรองอ่อนค่าลง ในตลาดที่มีมูลค่าการซื้อขายระดับหลายล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน ความเข้าใจที่ถูกต้องในจุดนี้คือสิ่งที่ “ประเมินค่าไม่ได้”
สกุลเงินหลัก (Base Currency): สกุลเงินตัวแรกในคู่ แสดงถึงสิ่งที่คุณกำลังซื้อหรือขาย
สกุลเงินรอง (Counter Currency): สกุลเงินตัวที่สองในคู่ ใช้ในการแสดงมูลค่าของสกุลเงินหลัก
อัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate): ราคาที่แสดงว่าหนึ่งสกุลเงินมีค่าเท่าใดเมื่อเทียบกับอีกสกุลเงินหนึ่ง
ปิ๊บ (Pip): หน่วยที่เล็กที่สุดของการเปลี่ยนแปลงราคาในตลาด Forex
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ