เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-20
แนวโน้มค่าเงินเยน กำลังสะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจญี่ปุ่นอย่างชัดเจน ทั้งจากโครงสร้างประชากรที่หดตัว หนี้สาธารณะมหาศาล และการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานในสัดส่วนสูง แม้ค่าเงินเยนยังมีบทบาทในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในยามตลาดผันผวน แต่แรงกดดันระยะยาวกลับชี้ให้เห็นความเสี่ยงต่อการอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง บทความนี้จะพาไปเจาะลึกทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจญี่ปุ่นในปัจจุบัน แนวโน้มค่าเงินเยนในอนาคต รวมถึงกลยุทธ์ที่นักเทรด Forex ควรเตรียมรับมือ
แนวโน้มค่าเงินเยน ในปัจจุบันไม่อาจแยกออกจากความเปราะบางของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่สะสมมานาน ทั้งโครงสร้างประชากรที่หดตัวลงอย่างต่อเนื่อง หนี้สาธารณะระดับสูง และการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจำนวนมาก ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ค่าเงินเยนมีแรงกดดันเชิงโครงสร้าง
แม้ในบางช่วงที่ตลาดโลกเผชิญความไม่แน่นอน เงินเยนอาจได้แรงหนุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ในระยะยาว ความท้าทายทางเศรษฐกิจยังคงเป็นอุปสรรคต่อการแข็งค่าของเงินเยน
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้แนวโน้มค่าเงินเยนซับซ้อนขึ้น คือความสามารถในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ยังเปราะบางหลังโควิด-19 การบริโภคในประเทศไม่ได้ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ ขณะที่การส่งออกต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากจีนและเกาหลีใต้ เมื่อประกอบเข้ากับต้นทุนการนำเข้าที่สูงขึ้นจากราคาพลังงาน ทำให้แรงกดดันต่อค่าเงินเยนยิ่งทวีความเข้มข้น
สำหรับแนวโน้มค่าเงินเยนในอนาคตนั้น ล่าสุด อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อยู่ที่ 0.50 % และยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 เป็นต้นมา โดยนักวิเคราะห์หลายฝ่ายคาดว่า BOJ มีแนวโน้มปรับเพิ่มอีก +25 basis points (0.25%) ภายในไตรมาส 4 ของปี 2025 เพื่อรับมือแรงกดดันเงินเฟ้อ
โดยถ้า BOJ ปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็น 0.75 % จะลดส่วนต่างอัตราผลตอบแทน (interest rate differential) กับสหรัฐฯ บ้าง ทำให้แรงกดดันอ่อนค่าของเยนลดลง ผู้คาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยน USD/JPY (ดอลลาร์ต่อเยน) ของ Trading Economics ระบุว่าโดยสิ้นไตรมาสนี้ (Quarter-end) เยนอาจอยู่ที่ประมาณ 147.88 เยนต่อดอลลาร์ และในระยะ 12 เดือนข้างหน้า มีการประเมินว่าจะขึ้นไปถึง 150.69 เยนต่อดอลลาร์ อีกแหล่งหนึ่งให้คาดการณ์ว่าใน 3 เดือน USD/JPY อาจอยู่ที่ 145.8602 เยน และใน 6 เดือนอยู่ที่ 144.6633 เยน
ในทางเทคนิค USD/JPY ยังคงมีทิศทางขึ้น (uptrend) ในปี 2025 โดยถูกสนับสนุนให้อยู่เหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 สัปดาห์ (50-week SMA) ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นโซนแนวรับสำคัญ จุดต้านสำคัญถัดไปถูกประเมินไว้ที่ 156.97 เยน หรือแม้แต่ 161.81 เยน ถ้าเกิดแรงซื้อกลับอย่างรุนแรง
แม้ค่าเงินเยนจะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากทั้งนักลงทุนสถาบันและรายย่อย แต่สิ่งที่สร้างความท้าทายคือความผันผวนที่ยากจะคาดเดาได้ ไม่ว่าจะมาจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น การเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยของเฟด หรือความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้การเคลื่อนไหวของเงินเยนกลายเป็นสิ่งที่นักเทรด Forex ต้องมีแผนสำรองไว้เสมอ
การป้องกันความเสี่ยงถือเป็นกลยุทธ์พื้นฐานของนักเทรดที่ไม่อยากให้พอร์ตได้รับผลกระทบหนักจากการแกว่งตัวของค่าเงินเยน วิธีนี้สามารถทำได้โดยการเปิดสถานะตรงข้ามกัน เช่น หากถือ Long USD/JPY ไว้ อาจเปิด Short ไว้ในคู่ที่สัมพันธ์กัน เพื่อจำกัดผลกระทบหากทิศทางไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง กลยุทธ์นี้ช่วยให้การจัดการความเสี่ยงอยู่ในกรอบที่ควบคุมได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม Hedging ไม่ได้หมายความว่าจะสร้างกำไรโดยตรง แต่เป็นการซื้อเวลาให้นักเทรดสามารถรอการปรับฐานของตลาดได้โดยไม่เสียหายมาก การเลือกคู่เงินที่เหมาะสมในการ Hedge และการประเมินต้นทุนของการทำธุรกรรมก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง
อีกหนึ่งวิธีที่สำคัญคือการกำหนดขนาดการลงทุนต่อครั้งให้อยู่ในระดับที่ยอมรับความเสี่ยงได้ โดยเฉพาะในช่วงที่แนวโน้มค่าเงินเยนไม่แน่นอน การจัด Position Sizing อย่างมีวินัยจะช่วยลดโอกาสขาดทุนหนักในกรณีที่ตลาดผันผวนเกินคาด
การใช้สูตรคำนวณความเสี่ยง เช่น ความเสี่ยงต่อการเทรดไม่เกิน 1-2% ของพอร์ตทั้งหมด ช่วยให้สามารถทนต่อ Drawdown ได้ในระยะยาว ข้อสำคัญคือการทำตามกฎที่ตั้งไว้โดยไม่ปล่อยให้อารมณ์เข้ามาควบคุมการตัดสินใจ
ในสภาวะที่ค่าเงินเยนได้รับอิทธิพลอย่างมากจากความต่างของนโยบายการเงินระหว่างเฟดและ BOJ นักเทรดควรนำข้อมูลมหภาคมาใช้ประกอบการตัดสินใจ เช่น ตัวเลขเงินเฟ้อ การประชุมธนาคารกลาง หรือดัชนีเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่สะท้อนภาวะชะลอตัว
กลยุทธ์นี้ช่วยให้การเทรดไม่ใช่เพียงการอิงสัญญาณทางเทคนิค แต่ยังพิจารณาความเป็นไปได้ในเชิงเศรษฐกิจจริง หากเฟดส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยในขณะที่ BOJ กำลังจะยกเลิกดอกเบี้ยติดลบ ความเคลื่อนไหวของเงินเยนย่อมได้รับแรงหนุนทันที
แม้ปัจจัยพื้นฐานจะเป็นแกนหลัก แต่เทคนิคอลก็ยังมีความสำคัญ โดยเฉพาะในคู่ USD/JPY ที่มีโซนสำคัญ เช่น 150 และ 155 ซึ่งมักกลายเป็นจุดตัดสินใจของนักเทรดทั่วโลก การใช้เครื่องมืออย่าง Fibonacci, RSI หรือ MACD ร่วมกับระดับแนวรับ-แนวต้าน จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าซื้อหรือขายในจังหวะที่เหมาะสม
สิ่งที่ต้องระวังคือการหลีกเลี่ยงการเข้าออเดอร์ท่ามกลางข่าวใหญ่ที่อาจทำให้ราคา Break Zone อย่างรุนแรง การเทรดรอคอนเฟิร์มด้วยการปิดแท่งราคาแทนที่จะเข้าทันที เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก
A: ค่าเงินเยนมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและเศรษฐกิจญี่ปุ่นเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีความมั่นคง ทำให้นักลงทุนมักถือครองเยนในยามที่ตลาดโลกผันผวน แม้บทบาทนี้จะลดลงบ้าง แต่ยังคงมีผลต่อการเคลื่อนไหวในตลาด
A: ปัจจัยหลักคือส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศหลักอย่างสหรัฐฯ และยุโรป รวมถึงภาวะเศรษฐกิจในประเทศญี่ปุ่นเอง เช่น ดุลการค้า การเติบโตทางเศรษฐกิจ และนโยบายการเงินของ BOJ
A: การแทรกแซงสามารถสร้างแรงกระแทกชั่วคราวต่อทิศทางค่าเงิน แต่ผลระยะยาวยังขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานและนโยบายการเงินโลก หากปัจจัยกดดันยังคงอยู่ การแทรกแซงเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเปลี่ยนแนวโน้มหลักได้
แนวโน้มค่าเงินเยนยังคงเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้างในประเทศญี่ปุ่น ทั้งการเติบโตเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ภาระหนี้สาธารณะสูง และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเป็นเวลานาน สิ่งเหล่านี้ทำให้เยนมีแนวโน้มอ่อนค่าในเชิงพื้นฐานเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายนอก เช่น ทิศทางดอกเบี้ยของ Fed และความผันผวนในตลาดโลก สามารถทำให้เยนกลับมามีบทบาทในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในบางช่วงเวลา ทำให้ทิศทางค่าเงินไม่ได้เคลื่อนไหวในเส้นตรง แต่ผันผวนขึ้นลงตามภาวะเศรษฐกิจและการเงินโลก
สุดท้าย บทบาทของภาครัฐและการแทรกแซงค่าเงินยังเป็นอีกตัวแปรที่นักวิเคราะห์ไม่สามารถมองข้าม การเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนจึงเป็นผลลัพธ์จากทั้งปัจจัยในประเทศและระดับโลกที่ซับซ้อน และยังคงเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่ตลาดเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิดในทุกช่วงเวลา
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใด ๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใด ๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ