2025-09-16
เทรดสกุลเงิน คือการลงทุนในตลาด Forex ซึ่งเป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก และด้วยมูลค่าการซื้อขายมหาศาลทุกวัน ทำให้ตลาดังกล่าวมีความผันผวนเป็นอย่างมาก บทความนี้จึงเจาะลึกการเทรดสกุลเงิน และเวลาเปิดปิดของตลาด พร้อมลิสต์สกุลเงินหลักที่ถูกซื้อขายมากที่สุด ไปจนถึงกลยุทธ์การลงทุนที่นักเทรดมืออาชีพใช้จริงในสนาม
การเทรดสกุลเงิน (Currency Trading) คือการซื้อขายคู่เงินในตลาด Forex โดยมุ่งหวังกำไรจากส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยน ตัวอย่างเช่น การซื้อ EUR/USD หมายถึงการซื้อยูโรและขายดอลลาร์สหรัฐในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้เกิดขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากตลาด Forex เปิดทำการทั่วโลกตามโซนเวลา ความเข้าใจพื้นฐานจึงเป็นก้าวแรกสู่การตัดสินใจลงทุนที่มีคุณภาพ
โดยตลาด Forex จะมีความแตกต่างจากตลาดหุ้นตรงที่ไม่มีศูนย์กลางกลาง (Decentralized Market) แต่เชื่อมโยงผ่านเครือข่ายธนาคารกลาง ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงิน และโบรกเกอร์รายย่อย ทำให้มีสภาพคล่องสูงและค่าใช้จ่ายในการซื้อขายต่ำ นักลงทุนจึงสามารถเข้าออกตลาดได้อย่างรวดเร็ว การตัดสินใจจึงต้องมีการวิเคราะห์ที่รอบด้านทั้งเชิงเทคนิคและพื้นฐาน
ตลาดซิดนีย์ (Sydney Session): เปิดทำการประมาณ 05:00 น. - 14:00 น. ตามเวลาประเทศไทย (อาจมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยตามฤดูกาล) ตลาดนี้ถือเป็นตลาดแรกที่เปิดทำการในแต่ละสัปดาห์
ตลาดโตเกียว (Tokyo Session): เปิดทำการประมาณ 07:00 น. - 16:00 น. ตามเวลาประเทศไทย ตลาดนี้มีความสำคัญเนื่องจากญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่และมีการซื้อขายเงินเยน (JPY) เป็นจำนวนมาก
ตลาดลอนดอน (London Session): เปิดทำการประมาณ 15:00 น. - 23:00 น. ตามเวลาประเทศไทย ตลาดลอนดอนถือเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก มีการซื้อขายเงินปอนด์สเตอร์ลิง (GBP) และสกุลเงินอื่น ๆ อย่างคึกคัก
ตลาดนิวยอร์ก (New York Session): เปิดทำการประมาณ 21:00 น. - 04:00 น. ของวันถัดไป ตามเวลาประเทศไทย ตลาดนิวยอร์กมีความสำคัญเนื่องจากเป็นศูนย์กลางทางการเงินของสหรัฐอเมริกา และมีการซื้อขายเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ซึ่งเป็นสกุลเงินหลักของโลกเป็นจำนวนมาก
ในตลาด Forex แม้จะมีการซื้อขายสกุลเงินนับร้อยก็จริง แต่แกนกลางจริง ๆ อยู่ที่สกุลเงินหลัก หรือ Major Currencies ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุดและถูกใช้เป็นมาตรฐานในการกำหนดทิศทางของตลาดโลก เนื่องจากเป็นสกุลเงินจากประเทศที่มีฐานเศรษฐกิจแข็งแกร่งและจุดเด่นของตัวเอง
ดอลลาร์สหรัฐคือสกุลเงินที่มีสถานะ “ศูนย์กลาง” ของระบบการเงินโลก ถูกใช้เป็นสกุลเงินสำรองหลัก (Reserve Currency) โดยธนาคารกลางทั่วโลก และคิดเป็นฝั่งตรงข้ามกว่า 80% ของการซื้อขาย Forex ทั้งหมด จุดแข็งของ USD มาจากขนาดเศรษฐกิจสหรัฐที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความมั่นคงทางการเมืองและสถาบันการเงิน รวมถึงบทบาทในตลาดทุนและสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันที่มักซื้อขายในรูป “Petrodollar” สิ่งเหล่านี้ทำให้ดอลลาร์มีสภาพคล่องสูงสุดและถูกใช้เป็นบาร์อมิเตอร์ของความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์ก็มีข้อเสียในมุมผู้ถือเช่นกัน เนื่องจากเฟด (Fed) มักใช้นโยบายดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ทำให้ USD มีความผันผวนสูงในช่วงเปลี่ยนผ่านของวัฏจักรการเงิน นอกจากนี้ สหรัฐยังมีหนี้สาธารณะขนาดใหญ่ที่อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นระยะยาว แม้ USD จะยังคงสถานะผู้นำ แต่ความพยายามของประเทศอื่น ๆ ที่ต้องการลดการพึ่งพา USD (De-dollarization) ก็เป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่นักเทรดควรจับตา
ยูโรเป็นสกุลเงินร่วมของสหภาพยุโรป (EU) ที่สะท้อนพลังของเศรษฐกิจยุโรปโดยรวม ครองอันดับสองรองจากดอลลาร์สหรัฐในฐานะสกุลเงินที่ถูกใช้สำรองและซื้อขายมากที่สุด จุดเด่นของยูโรคือเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าการค้าโลกสูง อีกทั้งสหภาพยุโรปยังมีเสถียรภาพเชิงโครงสร้างที่สนับสนุนให้ EUR เป็นสกุลเงินที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความเชื่อมั่น การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจจากเยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี ซึ่งเป็นประเทศหลักของยูโรโซน มักขับเคลื่อนค่าเงินนี้ได้อย่างชัดเจน
แต่ยูโรก็มีข้อจำกัดเฉพาะตัว คือความไม่เป็นเอกภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของสมาชิกในสหภาพ ตัวอย่างเช่น วิกฤติหนี้กรีซในปี 2010 แสดงให้เห็นว่าความแตกต่างด้านวินัยการคลังสามารถสั่นคลอนความเชื่อมั่นใน EUR ได้ง่าย อีกทั้ง ECB (ธนาคารกลางยุโรป) มักดำเนินนโยบายการเงินแบบระมัดระวัง ทำให้ยูโรมีการตอบสนองต่อปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ซับซ้อนกว่าสกุลอื่น ๆ
เยนญี่ปุ่นได้รับการยอมรับว่าเป็น “Safe Haven Currency” หรือสกุลเงินหลบภัยในยามตลาดผันผวน เนื่องจากญี่ปุ่นมีฐานะเจ้าหนี้ต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดในโลก และมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนจึงมักแห่เข้าถือ JPY เมื่อเกิดวิกฤติทางการเงินหรือความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศ อีกทั้งตลาดพันธบัตรญี่ปุ่นยังมีความมั่นคงสูง และสถาบันการเงินญี่ปุ่นถือครองสินทรัพย์ต่างประเทศจำนวนมากซึ่งสามารถไหลกลับเข้าประเทศได้ทันทีในยามวิกฤติ
จุดอ่อนของเยนคืออัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานานจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายสุดขั้วของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ทำให้ JPY มักถูกใช้เป็นสกุลเงินสำหรับ “Carry Trade” โดยนักลงทุนกู้เยนต้นทุนต่ำเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า พฤติกรรมนี้ทำให้เยนอ่อนค่ามากในช่วงตลาดโลกเป็นขาขึ้น แต่กลับแข็งค่าแรงในช่วงตลาดเสี่ยง จึงมีความผันผวนที่เทรดเดอร์ต้องบริหารอย่างรอบคอบ
ปอนด์สเตอร์ลิงถือเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และยังคงเป็นสกุลเงินสำคัญของตลาด Forex แม้เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรจะมีขนาดเล็กกว่าสหรัฐหรือยูโรโซน แต่ GBP ยังคงมีอิทธิพลเพราะตลาดการเงินลอนดอนเป็นศูนย์กลางด้านสภาพคล่องและการจัดการสินทรัพย์ระดับโลก ปอนด์ยังตอบสนองต่อข้อมูลเศรษฐกิจภายในประเทศได้ไว ทำให้เป็นคู่เงินที่นักเก็งกำไรนิยม เพราะสามารถสร้างโอกาสในระยะสั้นได้ดี
อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของปอนด์คือความเปราะบางต่อปัจจัยทางการเมือง เช่น วิกฤติ Brexit ที่เคยสร้างความผันผวนรุนแรงให้กับ GBP ในช่วงปี 2016–2020 นอกจากนี้ เศรษฐกิจอังกฤษยังพึ่งพาภาคบริการสูง หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวหรือเกิดความไม่แน่นอนในนโยบาย BoE (Bank of England) ค่าเงินปอนด์มักมีการเคลื่อนไหวผันผวนกว่าสกุลเงินหลักอื่น ๆ
ฟรังก์สวิสคือสกุลเงินของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่มีชื่อเสียงด้านเสถียรภาพและความเป็นกลางทางการเมือง ถูกจัดให้เป็นหนึ่งใน “Safe Haven” คู่กับเยนญี่ปุ่น นักลงทุนมักเข้าซื้อ CHF ในช่วงที่ตลาดโลกมีความตึงเครียด โดยเฉพาะเมื่อมีความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความเสี่ยงทางการเงิน
ข้อเสียของฟรังก์สวิสคือ SNB (Swiss National Bank) มักแทรกแซงค่าเงินเพื่อป้องกันการแข็งค่ามากเกินไป เพราะค่าเงินที่แข็งเกินไปอาจกระทบต่อการส่งออกของประเทศ นักลงทุนจึงต้องระวังความเสี่ยงจากการแทรกแซงฉับพลัน รวมถึงขนาดตลาดที่เล็กกว่าสกุลเงินหลักอื่นยังทำให้ความผันผวนเกิดขึ้นเร็วและแรงเมื่อตลาดเกิดแรงซื้อขายกะทันหัน
กลยุทธ์ในการเทรดสกุลเงิน Forex คือหัวใจสำคัญที่แยกนักลงทุนที่มีระบบออกจากการเก็งกำไรแบบไร้ทิศทาง เพราะในตลาดที่ผันผวนและเต็มไปด้วยปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค การมีวิธีการวิเคราะห์และแนวทางที่ชัดเจนคือสิ่งที่ช่วยสร้างความได้เปรียบ เพราะทุกเทคนิคล้วนมีหลักการ จุดแข็ง และข้อจำกัดที่ต่างกันอย่างชัดเจน
กลยุทธ์เทรดตามเทรนด์ (Trend Following)
การเทรดตามเทรนด์ถือเป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมีแนวคิดว่าราคามีแนวโน้มเคลื่อนที่ต่อเนื่องในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง นักลงทุนมักใช้เครื่องมืออย่าง Moving Average, MACD หรือเส้นแนวรับแนวต้าน เพื่อหาจังหวะเข้าตามทิศทางหลักของราคา จุดแข็งคือช่วยให้ผู้เทรดไปในทิศเดียวกับแรงซื้อขายของตลาด ลดโอกาสสวนกระแสที่อาจทำให้ขาดทุนหนัก
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้มักเผชิญความท้าทายในช่วงที่ตลาด “Sideway” หรือไร้ทิศทาง เพราะสัญญาณอาจหลอกบ่อยและทำให้เสียต้นทุนไปกับค่าธรรมเนียม ดังนั้น นักลงทุนที่ใช้วิธีนี้ควรรอคอนเฟิร์มเทรนด์ที่ชัดเจน และควรมี Stop Loss ที่รัดกุมเพื่อลดความเสี่ยงเมื่อราคากลับทิศกะทันหัน
กลยุทธ์เทรดตามข่าว (News Trading)
กลยุทธ์นี้อาศัยการเก็งกำไรจากเหตุการณ์เศรษฐกิจหรือการประกาศตัวเลขสำคัญ เช่น ดอกเบี้ยของ Fed, ตัวเลข Non-Farm Payrolls หรือ CPI ของสหรัฐ เนื่องจากข่าวเหล่านี้สามารถสร้างแรงเหวี่ยงรุนแรงให้กับสกุลเงินหลัก การเทรดตามข่าวจึงมักเป็นจังหวะที่สามารถทำกำไรได้รวดเร็วภายในเวลาไม่กี่นาทีหรือนาทีต่อชั่วโมง
แต่ในทางกลับกัน ความผันผวนสูงอาจสร้างความเสี่ยงให้กับพอร์ต โดยเฉพาะหากราคาผันผวนสวนทางคาดการณ์ การตั้งคำสั่ง Pending Order ล่วงหน้า เช่น Buy Stop หรือ Sell Stop บริเวณแนวรับ–แนวต้าน จึงเป็นวิธีช่วยจัดการความเสี่ยงได้ดี นักลงทุนควรมีวินัยสูง และหลีกเลี่ยงการเปิดสัญญาใหญ่เกินไปเมื่อยังไม่ชำนาญ
กลยุทธ์ Carry Trade
Carry Trade คือการกู้ยืมเงินจากสกุลที่มีดอกเบี้ยต่ำ (เช่น JPY) เพื่อนำไปลงทุนในสกุลที่มีดอกเบี้ยสูงกว่า (เช่น AUD หรือ NZD) เพื่อเก็บส่วนต่างดอกเบี้ยหรือ Yield Spread จุดเด่นคือการสร้างผลตอบแทนที่ค่อนข้างสม่ำเสมอในภาวะตลาดโลกมีเสถียรภาพ อีกทั้งยังได้รับกำไรเพิ่มจากค่าเงินที่แข็งค่าของสกุลที่ให้ดอกเบี้ยสูง
ข้อเสียคือหากตลาดโลกเผชิญภาวะเสี่ยง นักลงทุนจะรีบปิดสถานะ Carry Trade และแห่กลับไปหาสกุลเงินหลบภัยอย่าง JPY หรือ CHF ทำให้ราคาผันผวนรุนแรงและเกิดการขาดทุนได้ทันที ดังนั้น กลยุทธ์นี้เหมาะกับช่วงที่ตลาดโลกสงบและมีแนวโน้มเศรษฐกิจชัดเจน ไม่เหมาะกับสภาวะที่มีข่าวลบถี่หรือความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์สูง
กลยุทธ์ Breakout Trading
Breakout คือการเข้าซื้อหรือขายเมื่อราคาทะลุแนวรับ–แนวต้านสำคัญ นักลงทุนเชื่อว่าหากราคาสามารถทะลุกรอบที่กดทับมานาน จะสร้างแรงซื้อขายต่อเนื่องและเกิดเทรนด์ใหม่ เช่น ทะลุ High เดิมในขาขึ้น หรือหลุด Low เดิมในขาลง กลยุทธ์นี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการจับการเคลื่อนไหวแรง ๆ ในตลาด
อย่างไรก็ดี Breakout มักมี “False Break” หรือการหลอกให้ราคาทะลุแล้ววกกลับทันที การป้องกันคือรอการยืนยันจากปริมาณการซื้อขาย (Volume) หรือใช้ Timeframe ที่ใหญ่ขึ้นเพื่อลดสัญญาณหลอก นอกจากนี้ ควรวาง Stop Loss ใกล้กรอบเดิมเพื่อควบคุมความเสี่ยงเมื่อราคาไม่เดินตามที่คาด
กลยุทธ์ Scalping และ Day Trading
Scalping เป็นการเทรดระยะสั้นมาก มักถือสถานะเพียงไม่กี่นาที เพื่อทำกำไรจากความเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ของราคา ส่วน Day Trading คือการเปิดและปิดออเดอร์ภายในวัน ไม่ถือข้ามคืน ทั้งสองกลยุทธ์นี้ต้องอาศัยความรวดเร็ว ความแม่นยำ และต้นทุนค่าธรรมเนียมที่ต่ำ
แม้จะสร้างโอกาสทำกำไรได้หลายครั้งต่อวัน แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเพราะการตัดสินใจต้องเร็วและแม่นยำ หากไม่มีระบบหรือวินัยที่เข้มงวด อาจทำให้ขาดทุนต่อเนื่องได้ง่าย นอกจากนี้ กลยุทธ์นี้ยังไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาเฝ้าหน้าจอหรือมีความอดทนต่ำ เพราะการเทรดบ่อยเกินไปอาจกลายเป็นความเครียดสะสมและทำให้การตัดสินใจผิดพลาดได้
A: หุ้นสะท้อนมูลค่าของบริษัท แต่การเทรดสกุลเงินสะท้อนมูลค่าของประเทศหรือนโยบายการเงิน ตลาด Forex ยังเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ต่างจากตลาดหุ้นที่มีเวลาซื้อขายจำกัด
A: EUR/USD มักถูกแนะนำ เพราะมีสภาพคล่องสูง ค่าสเปรดต่ำ และข้อมูลข่าวสารมาก ทำให้การวิเคราะห์ทำได้ง่ายกว่า
A: ความเสี่ยงขึ้นอยู่กับการใช้ Leverage และการจัดการเงินทุน หากใช้อย่างมีวินัย ความเสี่ยงสามารถควบคุมได้ แต่หากไม่บริหารความเสี่ยง Leverage อาจทำให้เกิดการขาดทุนเกินเงินลงทุนได้
ภาพรวมของตลาดการ เทรดสกุลเงิน แสดงให้เห็นถึงขนาดมหาศาลและความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก ทั้งในเชิงมหภาคและจุลภาค นักลงทุนจึงต้องมองตลาดนี้ในฐานะเครื่องมือที่ทั้งสะท้อนเศรษฐกิจและเป็นช่องทางสร้างกำไร
สกุลเงินหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร และเยนญี่ปุ่น เป็นแกนกลางของตลาด ทำให้คู่เงินเหล่านี้เป็นตัวเลือกหลักที่เทรดเดอร์มืออาชีพใช้ตัดสินใจ การเข้าใจปัจจัยพื้นฐานของประเทศเหล่านี้ เช่น นโยบายการเงิน การเติบโตทางเศรษฐกิจ และสถานการณ์การเมือง เป็นกุญแจสำคัญของการวิเคราะห์
ท้ายที่สุด การเทรดสกุลเงินเป็นตลาดที่เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึง แต่ไม่ใช่ตลาดที่ง่าย ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการใช้ข้อมูล การวิเคราะห์ที่แม่นยำ และการวางกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตัวเอง ตลาดนี้จึงเป็นทั้ง “สนามแข่งขัน” และ “ห้องเรียน” สำหรับนักลงทุนทั่วโลก
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ