简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

หุ้นยุโรปพุ่งขึ้น สเปน-อิตาลีนำเทรนด์บวกทั่วตลาด

ผู้เขียน: Rylan Chase

เผยแพร่เมื่อ: 2025-11-12

ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันพุธ เนื่องจากนักลงทุนตอบรับเชิงบวกต่อสัญญาณเศรษฐกิจมหภาคที่ปรับตัวดีขึ้น และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ลดลง


ยุโรปตอนใต้เป็นผู้นำการปรับตัว โดยดัชนี IBEX 35 ของสเปน พุ่งขึ้น ขณะที่ FTSE MIB ของอิตาลี ปิดที่ระดับสูงสุดในรอบหลายปี ขณะเดียวกันดัชนีหลักของยูโรโซนโดยรวมก็ปรับเพิ่มเช่นกัน


การเคลื่อนไหวของตลาดยุโรป

ดัชนี / ตลาด % การเปลี่ยนแปลง (12 พ.ย.)

ระดับปิดโดยประมาณ (11 พ.ย.)

ปัจจัยสำคัญ 
IBEX 35 (สเปน) +1.2% 16,401.6 ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารและหุ้นวัฏจักรภายในประเทศ
FTSE MIB (อิตาลี) +0.9%-1.2% 44,438 ปิดสูงสุดตั้งแต่ปี 2001 จากความเชื่อมั่นต่อผลประกอบการและความเสี่ยงทางการเมืองที่ลดลง
DAX (เยอรมนี) +1.17-1.2% 24,088 หุ้นอุตสาหกรรมและการเงินฟื้นตัว
CAC 40 (ฝรั่งเศส) +1.03% 8,172 กลุ่มธนาคารและประกันภัยทำผลงานโดดเด่น
EURO STOXX 50 / STOXX 600 +1.10% 5,738 ตลาดได้แรงหนุนจากความหวังเรื่องการหลีกเลี่ยงปัญหา U.S. government shutdown และแนวโน้มกำไรบริษัทที่แข็งแกร่ง


การปรับตัวครั้งนี้เป็นการฟื้นตัวในวงกว้าง ครอบคลุมหลากหลายประเทศและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มสาธารณูปโภค การเงิน และอุตสาหกรรมที่โดดเด่นเป็นพิเศษ


เหตุผลที่ตลาดหุ้นยุโรปพุ่งขึ้น

เหตุผลที่ตลาดหุ้นยุโรปพุ่งขึ้น

1) สัญญาณเศรษฐกิจสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน

ข้อมูลทางเศรษฐกิจและการอัปเดตจากบริษัทต่าง ๆ หลายแห่งช่วยยืนยันว่าเศรษฐกิจยุโรปยังคงอยู่ในช่วงฟื้นตัว แม้จะไม่เท่ากันในแต่ละภูมิภาค


ดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการในหลายประเทศยังคงอยู่ในระดับขยายตัว ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทในยุโรปโดยเฉพาะกลุ่มธนาคารและประกันภัยออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้


ปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ช่วยลดความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจในระยะสั้น และเป็นแรงสนับสนุนให้ตลาดหุ้นแข็งแกร่งขึ้น


2) ความชัดเจนทางการเมืองและนโยบายช่วยลดความเสี่ยงในตลาด

สัญญาณทางการคลังที่ชัดเจนขึ้นจากสเปน (โดยเฉพาะประเด็นงบประมาณ) และการขาดข่าวช็อกเชิงนโยบายในอิตาลี ช่วยลดความเสี่ยงด้านข่าวในตลาด


ในกรณีของอิตาลี นักลงทุนได้รับความมั่นใจจากแนวทางทางการคลังที่โปร่งใสขึ้น และผลประกอบการที่แข็งแกร่งจากบริษัทรายใหญ่ ซึ่งช่วยผลักดันดัชนี FTSE MIB ให้ขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปี


ในขณะเดียวกัน ความหวังว่าปัญหา U.S. government shutdown จะคลี่คลาย ยังช่วยผ่อนคลายแรงกดดันในตลาดโลกอีกด้วย


3) การหมุนเวียนการลงทุนสู่หุ้นคุณค่าและหุ้นรายได้

การฟื้นตัวในรอบนี้สะท้อนการหมุนเวียนของเงินลงทุนเข้าสู่หุ้นกลุ่มคุณค่า โดยเฉพาะธนาคารและหุ้นการเงินที่ได้แรงหนุนจากตัวชี้วัดเครดิตที่ดีกว่าคาดและการปรับเพิ่มประมาณการกำไร


ในขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมก็ได้รับแรงสนับสนุนจากคำสั่งซื้อใหม่และโครงการในอนาคต


การเปลี่ยนทิศนี้สะท้อนการเคลื่อนตัวของตลาดออกจากหุ้นเก็งกำไร โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีในช่วงต้นปี ไปสู่หุ้นที่มีศักยภาพด้านกระแสเงินสดและการจ่ายเงินปันผลที่มั่นคงมากกว่า


มุมมองสำหรับนักลงทุน

1) ความเชื่อมั่นเริ่มกลับมา แต่ยังเลือกจุดลงทุนอย่างระมัดระวัง

การที่ตลาดหุ้นสเปนและอิตาลีทำผลงานได้โดดเด่น สะท้อนถึงการปรับตัวดีขึ้นของข้อมูลเศรษฐกิจภายในประเทศและผลประกอบการบริษัท อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงระวังการลงทุนในกลุ่มหุ้นวัฏจักรที่อ่อนไหวต่อเศรษฐกิจ


2) การกระจายความเสี่ยงยังคงมีความสำคัญ

แม้ตลาดจะฟื้นตัวในวงกว้าง แต่ไม่ใช่ทุกภาคส่วนที่เติบโตไปในทิศทางเดียวกัน ความผันผวนยังคงปรากฏในบางกลุ่มอุตสาหกรรมและบางประเทศ เช่น กลุ่มเทคโนโลยีที่อ่อนตัวหลังมีการเทขายบล็อกใหญ่


3) ปัจจัยพื้นฐานกลับมาเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ

ในช่วงที่ตลาดเริ่มหมุนเข้าสู่หุ้นคุณค่าและหุ้นปันผล ผู้จัดการสินทรัพย์ให้ความสำคัญมากขึ้นกับบริษัทที่มี กระแสเงินสดมั่นคง งบดุลแข็งแรง และนโยบายปันผลที่โปร่งใส


บทสรุป

การปรับตัวขึ้นของตลาดยุโรปในวันที่ 11–12 พฤศจิกายน เกิดจากแรงหนุนของสัญญาณเศรษฐกิจมหภาคที่แข็งแกร่งขึ้น ผลประกอบการบริษัทที่ยืดหยุ่นทนทาน และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ลดลงในสหรัฐฯ


สเปนและอิตาลีเป็นผู้นำการปรับขึ้น แต่ดัชนีหลักอื่น ๆ ในยุโรปก็เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน


นักลงทุนควรเข้าร่วมกระแสการฟื้นตัวอย่างมีสติ พร้อมรักษาวินัยด้านการบริหารความเสี่ยง และติดตามปัจจัยสำคัญอย่างรายงานผลประกอบการ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) และพัฒนาการทางการเมืองทั่วโลกอย่างใกล้ชิด


คำถามที่พบบ่อย

1. ตลาดยุโรปใดที่โดดเด่นที่สุดวันนี้?

ตลาดหุ้นสเปน (IBEX 35) และอิตาลี (FTSE MIB) เป็นผู้นำการปรับตัวขึ้น โดยเพิ่มขึ้นราว 1%–1.3%


2. ตลาดเยอรมนีและฝรั่งเศสเป็นอย่างไรบ้าง?

ดัชนี DAX ของเยอรมนีปรับขึ้นประมาณ 0.5% ขณะที่ CAC 40 ของฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นราว 1.25%


3. กลุ่มอุตสาหกรรมใดเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาด?

กลุ่มการเงิน สาธารณูปโภค และอุตสาหกรรม เป็นกลุ่มที่ทำผลงานแข็งแกร่งที่สุดในรอบการซื้อขายครั้งนี้


4. นักลงทุนควรจับตาปัจจัยใดต่อไป?

ควรติดตามผลประกอบการของบริษัท ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมถึงความคืบหน้าในการเจรจา ปัญหา U.S. shutdown และเหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์อื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อตลาด


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
ตลาดยุโรปในปี 2025 อาจเป็นเพียงกระแสชั่วครั้งเดียว
กลยุทธ์บริหารสถานะข้ามคืน (Overnight Position) อย่างมือโปร
SOXX ETF กลยุทธ์ใหม่ของนักลงทุนสายเทค
ทำไมคริปโตยังร่วง แม้เฟดเริ่มลดดอกเบี้ยแล้ว?
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐพุ่งแตะ 99.8 รับสัญญาณเฟดเปลี่ยนนโยบาย