เปิดเทคนิคการเทรดหุ้นระยะสั้น รวมกลยุทธ์เด็ดที่ควรรู้

2025-09-15

การเทรดหุ้นระยะสั้นเป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนหลายรายเลือกใช้เพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาดหุ้นที่ไม่แน่นอนในทุกวัน เพราะในบางครั้งอาจมีหุ้นบางตัวสามารถปรับตัวขึ้นลงเกิน 3–5% ภายในวันเดียว ทำให้การเทรดระยะสั้นสามารถทำกำไรในระยะสั้นได้ ซึ่งในบทความนี้จะพาผู้อ่านสำรวจข้อดีของการเทรดระยะสั้น อินดิเตอร์สำคัญ และกลยุทธ์ที่ทำให้การเทรดมีประสิทธิภาพ


การเทรดหุ้นระยะสั้นแตกต่างกับการถือหุ้นระยะยาวยังไง?


การเทรดหุ้นระยะสั้นเป็นกลยุทธ์ที่เน้นการสร้างผลกำไรจากความผันผวนของราคาหุ้นในช่วงเวลาไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ จึงต้องการความคล่องตัวสูง การจับจังหวะที่แม่นยำ และการติดตามตลาดอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ใช้วิธีนี้มักให้ความสำคัญกับเครื่องมือทางเทคนิคและสัญญาณราคามากกว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัท เพราะเป้าหมายคือการเก็บกำไรจากการเคลื่อนไหวราคาที่รวดเร็ว


ในทางกลับกัน การถือหุ้นระยะยาวมุ่งเน้นไปที่คุณค่าพื้นฐานของกิจการ เช่น กำไรสุทธิ, อัตราการเติบโต, ความสามารถในการแข่งขัน และศักยภาพของอุตสาหกรรม วิธีนี้ใช้หลักการ “ลงทุนแล้วถือ” โดยหวังผลตอบแทนจากการเพิ่มมูลค่าหุ้นและเงินปันผลเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี การเคลื่อนไหวระยะสั้นของราคามักไม่มีผลต่อการตัดสินใจมากนัก เพราะโฟกัสอยู่ที่ภาพใหญ่ในระยะยาว


ดังนั้น ความแตกต่างสำคัญของสองแนวทางนี้อยู่ที่ ระยะเวลา, เครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์, และเป้าหมายของผลตอบแทน นักลงทุนที่เลือกเทรดระยะสั้นต้องยอมรับความเสี่ยงสูงและความผันผวน ขณะที่ผู้ถือหุ้นระยะยาวต้องมีความอดทนและมองไปที่มูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ซึ่งทั้งสองวิธีสามารถประสบความสำเร็จได้หากเลือกใช้ให้เหมาะกับเป้าหมายและสไตล์การลงทุนของตน


จุดเด่นของการเทรดหุ้นระยะสั้น


  • โอกาสทำกำไรเร็ว: สามารถใช้ประโยชน์จากการแกว่งตัวของราคาหุ้นในระยะสั้นเพื่อสร้างผลตอบแทนทันที

  • ใช้ทุนหมุนเร็ว: เงินลงทุนสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้หลายรอบภายในเวลาไม่นาน

  • เหมาะกับตลาดผันผวน: หากตลาดมีความผันผวนสูง การเทรดสั้นสามารถสร้างโอกาสมากกว่าการถือยาว

  • ไม่ยึดติดกับปัจจัยพื้นฐาน: โฟกัสไปที่สัญญาณทางเทคนิคและราคามากกว่าข้อมูลเชิงลึกของบริษัท


จุดเด่นของการถือหุ้นระยะยาว


  • ความเสี่ยงเฉลี่ยลดลง: การถือหุ้นนานช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนในระยะสั้น

  • ได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผล: หุ้นบางตัวสามารถสร้างกระแสเงินสดประจำผ่านเงินปันผล

  • สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท: ราคาหุ้นในระยะยาวมักปรับตัวตามผลประกอบการและศักยภาพการเติบโต

  • ใช้เวลาติดตามน้อยกว่า: ไม่ต้องเฝ้าตลาดทุกวัน เหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถติดตามความเคลื่อนไหวระยะสั้นได้ตลอดเวลา


การเทรดหุ้นระยะสั้น - EBC


เปิดลิสต์ 6 อินดิเคเตอร์ที่จำเป็นในการเทรดหุ้นระยะสั้น


ในการเทรดหุ้นระยะสั้น อินดิเคเตอร์ (Indicator) ถือเป็นอาวุธสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถอ่านทิศทางราคา จับจังหวะการเข้าออก และประเมินความแรงของแนวโน้มได้อย่างเป็นระบบ เนื่องจากการเคลื่อนไหวของหุ้นในระยะสั้นมักถูกขับเคลื่อนด้วยแรงซื้อขายจากอารมณ์ตลาดและปัจจัยภายนอก อินดิเคเตอร์จึงทำหน้าที่เป็น “เครื่องมือแปลสัญญาณ” ที่ช่วยลดการตัดสินใจโดยใช้อารมณ์ และทำให้ผู้เทรดสามารถใช้ข้อมูลเชิงสถิติในการกำหนดกลยุทธ์ได้อย่างมั่นใจ


1. Moving Average (MA) – เส้นค่าเฉลี่ยบอกแนวโน้ม


Moving Average เป็นเครื่องมือที่นักเทรดเกือบทุกคนใช้ เพราะช่วยให้เห็นแนวโน้มของราคาที่ชัดเจนขึ้นโดยการเฉลี่ยค่าในช่วงเวลาที่กำหนด เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น (เช่น MA 5 วัน, 10 วัน) มักใช้เพื่อหาจุดเข้าออกอย่างรวดเร็ว ขณะที่เส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว (เช่น MA 50 วัน, 200 วัน) ใช้เพื่อยืนยันทิศทางหลักของตลาด การตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นและยาวมักถูกตีความว่าเป็นสัญญาณซื้อหรือขาย เช่น Golden Cross และ Death Cross ซึ่งช่วยให้นักลงทุนระยะสั้นสามารถวางแผนได้อย่างแม่นยำ


2. Relative Strength Index (RSI) – ตัวชี้วัดแรงซื้อขาย


RSI เป็นอินดิเคเตอร์ยอดนิยมที่ใช้วัดแรงซื้อและแรงขายในตลาด โดยมีค่าอยู่ระหว่าง 0-100 หากค่า RSI สูงกว่า 70 มักตีความว่าหุ้นอยู่ในสภาวะ “ซื้อมากเกินไป (Overbought)” และอาจมีโอกาสปรับฐานลง ในทางกลับกัน หากค่า RSI ต่ำกว่า 30 มักหมายถึง “ขายมากเกินไป (Oversold)” และราคามีโอกาสฟื้นตัว จุดเด่นของ RSI คือช่วยให้นักลงทุนจับสัญญาณกลับตัวของราคาหุ้นได้อย่างทันท่วงที เหมาะกับการเทรดสั้นที่ต้องการตัดสินใจเร็ว


3. MACD (Moving Average Convergence Divergence) – ตรวจจับโมเมนตัม


MACD ใช้หลักการเปรียบเทียบเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นและระยะยาวเพื่อหาความแตกต่างของโมเมนตัมราคา จุดเด่นคือสามารถให้สัญญาณ “ซื้อ” เมื่อเส้น MACD ตัดขึ้นเหนือเส้นสัญญาณ และให้สัญญาณ “ขาย” เมื่อเส้น MACD ตัดลงใต้เส้นสัญญาณ นอกจากนี้ การดู “ฮิสโตแกรม” ของ MACD ยังช่วยให้นักลงทุนเห็นความแรงของแนวโน้มได้อีกด้วย อินดิเคเตอร์นี้จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้เทรดระยะสั้นสามารถตัดสินใจได้แม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความเคลื่อนไหวแรง


4. Bollinger Bands – กรอบความผันผวนของราคา


Bollinger Bands เป็นอินดิเคเตอร์ที่สร้าง “กรอบ” รอบราคา โดยประกอบด้วยเส้นค่าเฉลี่ยตรงกลาง และแถบเบี่ยงเบนมาตรฐานด้านบน-ล่าง หากราคาวิ่งไปแตะขอบบนมักตีความว่าหุ้นอยู่ในสภาวะ Overbought ส่วนการแตะขอบล่างมักหมายถึง Oversold นอกจากนั้น การ “บีบแคบ” ของกรอบยังบ่งชี้ว่าตลาดกำลังสะสมพลังและอาจเกิดการ Breakout ได้ในไม่ช้า ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยจับโอกาสในช่วงตลาดเงียบได้อย่างดี


5. Stochastic Oscillator – วัดโมเมนตัมระยะสั้น


Stochastic เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้วัดระดับราคาปัจจุบันเทียบกับช่วงราคาสูงสุด-ต่ำสุดในระยะเวลาที่กำหนด ค่า %K และ %D ที่ตัดกันมักถูกตีความเป็นสัญญาณซื้อหรือขาย จุดแข็งของ Stochastic คือช่วยให้ผู้เทรดเห็น “จังหวะกลับตัวสั้น ๆ” ที่ RSI หรือ MACD อาจมองไม่ชัด เหมาะกับผู้ที่ต้องการเทรดแบบเร็วหรือ Scalping


6. Volume (ปริมาณการซื้อขาย) – ตัวเสริมยืนยันแนวโน้ม


แม้อาจไม่ใช่อินดิเคเตอร์เชิงคำนวณ แต่ Volume ถือว่าเป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้ยืนยันสัญญาณจากอินดิเคเตอร์อื่น ๆ เช่น เมื่อราคาทะลุแนวต้านพร้อมปริมาณการซื้อขายที่สูง แสดงว่ามีแรงซื้อจริงและโอกาส Breakout มีความน่าเชื่อถือมากกว่า การดู Volume จึงช่วยป้องกันการ “หลงสัญญาณหลอก” ที่เกิดจากความผันผวนระยะสั้น


อินดิเคเตอร์ที่การเทรดหุ้นระยะสั้น - EBC


รวมกลยุทธ์การเทรดหุ้นระยะสั้นที่เทรดเดอร์ควรรู้


สำหรับการเทรดหุ้นระยะสั้นกลยุทธ์แรกที่มักถูกพูดถึงคือ Scalping ซึ่งเป็นการทำกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กน้อยในระยะเวลาเพียงไม่กี่นาทีถึงไม่กี่ชั่วโมง ผู้ใช้กลยุทธ์นี้จะเปิดและปิดสถานะหลายครั้งภายในวันเพื่อสะสมกำไรเล็ก ๆ จนกลายเป็นผลตอบแทนก้อนใหญ่ในภาพรวม Scalping จึงต้องการทั้งความเร็วในการตัดสินใจและเครื่องมือการเทรดที่มีประสิทธิภาพสูง


อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมคือ Momentum Trading ซึ่งมุ่งเน้นไปที่หุ้นที่มีแรงซื้อหรือแรงขายอย่างชัดเจน นักลงทุนจะเลือกเข้าตามทิศทางของแรงเหล่านั้น โดยเชื่อว่าราคาในระยะสั้นยังคงเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดิม เช่น หุ้นที่พุ่งขึ้นจากปัจจัยบวกหรือข่าวใหญ่ มักมีแรงซื้อต่อเนื่อง และสามารถสร้างกำไรได้รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การใช้กลยุทธ์นี้จำเป็นต้องจับสัญญาณให้ออกว่าแรงโมเมนตัมกำลังจะสิ้นสุดลงเมื่อใด เพื่อหลีกเลี่ยงการติดอยู่ในจังหวะกลับตัว


อีกกลยุทธ์ที่น่าสนใจคือ Breakout Strategy ซึ่งมุ่งหาหุ้นที่ราคาสามารถทะลุแนวต้านหรือแนวรับสำคัญออกไปได้ เพราะเมื่อราคาทะลุจุดดังกล่าว มักตามมาด้วยปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นและแรงเคลื่อนไหวที่ชัดเจน นักลงทุนที่สามารถเข้าซื้อหรือขายในจังหวะ Breakout จะมีโอกาสทำกำไรได้รวดเร็ว แต่ก็ต้องระวัง “สัญญาณหลอก” ที่ราคาเพียงแค่แตะระดับแนวรับหรือแนวต้านชั่วคราวแล้วกลับตัวลง ซึ่งการใช้ Volume หรืออินดิเคเตอร์อื่น ๆ มายืนยันจะช่วยลดความผิดพลาดได้มาก


กลยุทธ์การเทรดหุ้นระยะสั้น - EBC


คำถามที่พบบ่อย (FAQs)


Q: การเทรดหุ้นระยะสั้นเหมาะกับใคร?

A: เหมาะกับนักลงทุนที่มีเวลาติดตามตลาดบ่อย มีความเข้าใจในเทคนิคการวิเคราะห์ราคา และสามารถรับความผันผวนของตลาดได้


Q: ต้องใช้เงินลงทุนเท่าไหร่ในการเริ่มเทรดระยะสั้น?

A: ขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารความเสี่ยง นักลงทุนควรเริ่มด้วยสัดส่วนที่สามารถรับความเสี่ยงได้โดยไม่กระทบต่อเงินทุนรวม


Q: อินดิเคเตอร์ตัวไหนเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น?

A: แนะนำให้เริ่มจาก Moving Average และ RSI เพราะเป็นเครื่องมือพื้นฐาน ใช้งานง่าย และสามารถให้สัญญาณเบื้องต้นในการซื้อขาย


สรุป


การเทรดหุ้นระยะสั้นเป็นกลยุทธ์ที่อาศัยการจับจังหวะจากความผันผวนของราคาในตลาดทุน ซึ่งมักเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากข่าวเศรษฐกิจ ตัวเลขทางการเงิน ผลประกอบการบริษัท ไปจนถึงปัจจัยเชิงจิตวิทยาของนักลงทุน จุดเด่นของวิธีนี้คือสามารถสร้างผลตอบแทนได้รวดเร็ว แต่ก็ต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนระยะยาว เนื่องจากความเคลื่อนไหวของราคามีโอกาสผิดไปจากที่คาดการณ์ได้เสมอ


หัวใจสำคัญของการเทรดระยะสั้นคือการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น Moving Average, RSI, MACD, Bollinger Bands และ Volume เพื่อประเมินแนวโน้มและแรงซื้อขายในตลาด อินดิเคเตอร์เหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุจุดเข้าและออกได้อย่างมีระบบ และลดการตัดสินใจที่อาศัยอารมณ์ล้วน ๆ ขณะเดียวกัน กลยุทธ์ยอดนิยมอย่าง Scalping, Momentum Trading และ Breakout Strategy ก็ถูกนำมาใช้เพื่อหาประโยชน์จากรูปแบบราคาที่เกิดขึ้นจริงในตลาด


แม้การเทรดหุ้นระยะสั้นจะมีข้อดีเรื่องการทำกำไรเร็วและใช้ทุนหมุนเวียนได้หลายรอบ แต่การบริหารความเสี่ยงยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ตัดสินความสำเร็จ นักลงทุนที่สามารถตั้ง Stop Loss อย่างมีวินัย จำกัดสัดส่วนการลงทุน และควบคุมอารมณ์ได้ จะมีโอกาสรักษาผลกำไรและลดความสูญเสียได้ดีกว่า


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
กลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลจริง เพื่อสาย Day Trade โดยเฉพาะ
Long shot คืออะไร เคล็ดลับทำกำไรยามตลาด Forex ผันผวน
พื้นฐาน Forex เปิดโลกการเทรด ทำกำไรได้จริง
CPR Indicator คืออะไร? คู่มือสำหรับผู้เริ่มต้น
แจก 5 เทคนิคใช้เลเวอเรจเทรด Forex ยังไงไม่ให้พอร์ตแตก