2025-09-15
15 ก.ย. 2025 - สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจเดือนสิงหาคม โดยยอดค้าปลีกขยายตัว 3.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 3.8% และลดลงจาก 3.7% ในเดือนกรกฎาคม ขณะที่ผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 5.2% ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 5.8% และชะลอลงจาก 5.7% ในเดือนก่อนหน้า
ด้านการลงทุนสินทรัพย์ถาวรสะสมตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ขยายตัวเพียง 0.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งถือว่าพลาดการคาดการณ์ที่ 1.4% และลดลงจาก 1.6% ในเดือนกรกฎาคม ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนภาพเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ทั้งในภาคการบริโภคและการลงทุน
แม้ข้อมูลเศรษฐกิจจีนออกมาอ่อนกว่าคาด แต่ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) ไม่ได้สะท้อนแรงกดดันมากนัก โดยคู่เงิน AUD/USD เคลื่อนไหวบวกเพียง 0.10% ที่ระดับ 0.6653 นักวิเคราะห์อธิบายว่า ปกติยอดค้าปลีกถูกใช้เป็นตัวชี้วัดกำลังซื้อผู้บริโภค ส่วนผลผลิตอุตสาหกรรมสะท้อนความเคลื่อนไหวของภาคการผลิต หากการผลิตขยายตัวสูงเกินคาดอาจเพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อและนำไปสู่ท่าทีเข้มงวดของธนาคารกลางจีน แต่ในรอบนี้ตลาดกลับตีความว่าจีนยังอยู่ในภาวะชะลอตัว
ในส่วนค่าเงินบาท เช้าวันจันทร์เปิดตลาดที่ 31.75 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนที่ 31.71 บาทต่อดอลลาร์ โดยกรอบการเคลื่อนไหววันนี้คาดอยู่ที่ 31.65–31.85 บาทต่อดอลลาร์ และทั้งสัปดาห์อยู่ที่ 31.35–32.10 บาทต่อดอลลาร์ ช่วงคืนวันศุกร์เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ 31.70–31.79 บาทต่อดอลลาร์ สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวไร้ทิศทางของดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากนักลงทุนรอติดตามผลการประชุมเฟด (FOMC) วันที่ 18 กันยายน
ขณะเดียวกัน ราคาทองคำเผชิญแรงขายทำกำไร กดดันให้อ่อนตัวแบบ Sideways Down ลงสู่โซน 3,640 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนฝั่งยุโรป ยูโรอ่อนค่าลงหลังจาก Fitch ปรับลดเครดิตฝรั่งเศสจาก AA- สู่ A+ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองและหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น
นักวิเคราะห์ประเมินว่า ค่าเงินบาทยังแกว่งตัวไร้ทิศทางที่ชัดเจนก่อนรู้ผลการประชุม FED โดยแนวรับอยู่ที่ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ และแนวต้านที่ 31.85 บาทต่อดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนทะลุ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ชัดเจน จะเป็นสัญญาณเข้าสู่รอบอ่อนค่าใหม่ แต่หากเฟดลดดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาด อาจทำให้เงินบาทแข็งค่ารวดเร็ว
อีกปัจจัยที่ต้องติดตามคือราคาทองคำและเงินหยวนจีน ซึ่งมีผลโดยตรงต่อค่าเงินบาท ขณะที่เงินยูโรและเงินเยนยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองยุโรปและญี่ปุ่น หากสถานการณ์ไม่แน่นอนยืดเยื้อ ดอลลาร์สหรัฐอาจได้รับแรงหนุนเพิ่มเติม
ฝั่งสหรัฐฯ ตลาดกำลังโฟกัสไปที่การประชุม FOMC เดือนกันยายน โดยมีความเป็นไปได้สูงว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 4.00–4.25% นักลงทุนยังติดตามข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ยอดค้าปลีก ผลผลิตอุตสาหกรรม และผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญต่อทิศทางนโยบายการเงิน
ฝั่งยุโรป การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) คาดว่าจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.00% แม้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่วนตลาดแรงงานยังไม่อ่อนแรงชัดเจน ทำให้ยังเปิดทางต่อการปรับลดดอกเบี้ยปลายปีและปีหน้า ขณะที่เอเชีย นักลงทุนรอประเมินเศรษฐกิจจีนจากตัวเลขเดือนสิงหาคม ทั้งยอดค้าปลีก ผลผลิตอุตสาหกรรม และราคาบ้าน รวมถึงติดตามการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่น่าจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 0.50% เช่นเดียวกับธนาคารกลางไต้หวัน (2.00%) และอินโดนีเซีย (5.00%)
ตัวเลขเศรษฐกิจจีนเดือนสิงหาคมสะท้อนสัญญาณชะลอตัวชัดเจน ทั้งยอดค้าปลีกที่โตเพียง 3.4% ผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 5.2% และการลงทุนสินทรัพย์ถาวร YTD ขยายเพียง 0.5% ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ ส่งผลให้แรงกดดันต่อค่าเงินเอเชียยังมีอยู่ โดยเฉพาะค่าเงินบาทที่เปิดตลาดเช้าวันจันทร์ที่ 31.75 บาทต่อดอลลาร์ เคลื่อนไหวในกรอบ 31.65–31.85 บาทต่อดอลลาร์ นักวิเคราะห์มองว่ายังคงมีความเสี่ยงสองทาง หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ จะเข้าสู่รอบอ่อนค่าใหม่ ขณะที่การลดดอกเบี้ยของเฟดมากกว่าคาดอาจหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ราคาทองคำเผชิญแรงขายทำกำไร ลดลงสู่โซน 3,640 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และนักลงทุนยังต้องติดตามเงินหยวนจีน ยูโร และเยน ซึ่งมีผลต่อแรงกดดันค่าเงินบาท ขณะที่ตลาดโลกจับตาการประชุมธนาคารกลางสำคัญทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของแต่ละภูมิภาค ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางดอกเบี้ยและค่าเงินในระยะต่อไป
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ