2025-09-03
3 ก.ย. 2025 - ราคาทองคำ (XAU/USD) ดีดกลับขึ้นมาใกล้ระดับ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 3,508 ดอลลาร์ต่อออนซ์ช่วงเช้าในตลาดเอเชีย ก่อนจะเผชิญแรงขายทำกำไรเล็กน้อยเมื่อดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ฟื้นตัว โดยล่าสุดทองคำซื้อขายอยู่ราว 3,496 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงการซื้อขายสหรัฐฯ ต่อเนื่องจากการพุ่งขึ้นติดต่อกัน 6 วัน
นักวิเคราะห์ชี้ว่าแรงหนุนหลักมาจาก กระแสซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย และการคาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายวันที่ 16–17 กันยายน รวมถึงความกังวลต่อความเป็นอิสระของเฟดจากแรงกดดันทางการเมืองและความไม่แน่นอนด้านการค้าทั่วโลก โดยเฉพาะมาตรการภาษีของสหรัฐฯ
ข้อมูลล่าสุดจาก ISM Manufacturing PMI เดือนสิงหาคมออกมาที่ 48.7 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ 49.0 และสะท้อนการหดตัวต่อเนื่องในภาคการผลิต แม้ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ขยับขึ้นสู่ 51.4 จาก 47.1 บ่งชี้ว่าความต้องการเริ่มฟื้น ขณะที่ดัชนีการจ้างงานยังอยู่ในภาวะหดตัวที่ 43.8 และราคาวัตถุดิบลดลงสู่ 63.7 จาก 65.3
ตัวเลขดังกล่าวกดดันให้ดอลลาร์อ่อนลงหลังแตะจุดสูงระหว่างวัน ดัชนีดอลลาร์ (DXY) ร่วงลงใกล้ระดับ 98.00 ขณะบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับขึ้นต่อเนื่อง ยีลด์พันธบัตร 10 ปีขึ้น 5 จุดฐานแตะ 4.28% และยีลด์ 30 ปีเพิ่มขึ้นเป็น 4.97% สูงสุดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ท่ามกลางแรงขายพันธบัตรทั่วโลกที่ถูกจุดชนวนจาก ตลาดกิลต์อังกฤษ ซึ่งยีลด์ทะยานแรงเพราะกังวลปัญหาการคลัง
นักวิเคราะห์บางรายเตือนว่าอาจเข้าสู่ “ยุคใหม่ของการคลังครอบงำ” (fiscal dominance) ที่รัฐบาลกู้ยืมมหาศาลจำกัดความสามารถของธนาคารกลางในการกำหนดนโยบายดอกเบี้ยอย่างอิสระ
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ วินิจฉัยว่ามาตรการเก็บภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่วนใหญ่ไม่ชอบด้วยกฎหมายภายใต้กฎหมาย IEEPA ปี 1977 แต่ให้ยังคงบังคับใช้ต่อไปในระหว่างอุทธรณ์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ แสดงความมั่นใจว่าศาลสูงจะรับรองการใช้อำนาจนี้ โดยเตรียมยื่นเอกสารป้องกันมาตรการ พร้อมแผนสำรองหากผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามคาด
ตลาดยังจับตารายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) วันศุกร์นี้ ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางดอกเบี้ย โดยเครื่องมือ CME FedWatch สะท้อนความคาดหวัง 91% ที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมกลางเดือนกันยายน
ด้านเทคนิค ทองคำยังยืนเหนือแนวต้านเดิมที่ 3,450 ดอลลาร์ RSI อยู่ที่ระดับ 70 เข้าสู่เขตซื้อมากเกินไป แต่แรงซื้อยังแข็งแกร่ง โดยมีแนวรับที่ 3,470–3,450 ดอลลาร์ และแนวต้านหลักที่ 3,500–3,508 ดอลลาร์
อีกด้านหนึ่ง ศาลแขวงสหรัฐฯ มีคำสั่งให้ Google ไม่จำเป็นต้องขายเบราว์เซอร์ Chrome หรือระบบปฏิบัติการ Android แต่ต้องเปิดเผยข้อมูลการค้นหาและยุติสัญญาผูกขาดกับผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและเบราว์เซอร์
คำสั่งนี้เกิดขึ้นหลังคดีผูกขาดยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2020 เมื่อกระทรวงยุติธรรมกล่าวหาว่า Google ใช้วิธีไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาอำนาจผูกขาดตลาดค้นหาออนไลน์ โดยก่อนหน้านี้บริษัทจ่ายเงินกว่า 26,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีให้กับ Apple, Mozilla และพันธมิตร เพื่อเป็นค่าแลกเปลี่ยนในการตั้งค่า Search ของ Google เป็นค่าเริ่มต้นบนอุปกรณ์และเบราว์เซอร์
นักวิเคราะห์จากหลายสำนักมองว่าคำตัดสินครั้งนี้เป็น “ข่าวดีของบิ๊กเทค” เพราะไม่รุนแรงเท่าที่ตลาดกังวล หุ้น Alphabet พุ่งขึ้นกว่า 8% หลังคำตัดสิน ขณะที่ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอย่าง Apple, Samsung และ Motorola ได้ประโยชน์จากการที่ Google ไม่สามารถทำสัญญาผูกขาดได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม คู่แข่งอย่าง DuckDuckGo มองว่ามาตรการนี้ยังไม่เพียงพอที่จะจัดการพฤติกรรมผูกขาด และผู้บริโภคยังคงเสียเปรียบอยู่
Google ยังเผชิญศึกกฎหมายอีกหลายคดี รวมถึงคดีด้านโฆษณาออนไลน์ที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาในเดือนนี้ ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันต่อโมเดลธุรกิจหลักที่สร้างรายได้เกือบ 200,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีจากการค้นหาและโฆษณา
สถานการณ์โลกในสัปดาห์นี้สะท้อนถึงแรงกดดันทั้งด้านการเงินและเทคโนโลยีไปพร้อมกัน ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนเลือกเป็นที่พักความเสี่ยง ท่ามกลางการอ่อนค่าของดอลลาร์และความกังวลต่อทิศทางนโยบายการเงินของเฟด ขณะเดียวกันภาคการผลิตสหรัฐฯ ยังคงหดตัว แม้จะเริ่มมีสัญญาณคำสั่งซื้อใหม่ที่ฟื้นตัวขึ้น
ในอีกด้านหนึ่ง วงการเทคโนโลยีจับตาคำตัดสินที่สหรัฐฯ สั่งให้ Google ต้องแบ่งปันข้อมูลกับคู่แข่ง ซึ่งถือเป็นการปรับสมดุลในตลาดดิจิทัล แม้ไม่ถึงขั้นบังคับให้ขาย Chrome หรือ Android แต่สะท้อนถึงแรงกดดันจากภาครัฐต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ครองตลาดมายาวนาน
ทั้งสองเหตุการณ์ชี้ให้เห็นทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน นักลงทุนและภาคธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวต่อทั้งความผันผวนในตลาดการเงินและการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบที่อาจส่งผลต่อโครงสร้างการแข่งขันในอนาคต
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ