ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนหนักในเดือนเมษายน 2025 สร้างความกังวลถึงวิกฤตทางการเงินจากนโยบายภาษีที่เข้มงวดและสัญญาณเศรษฐกิจถดถอย นักลงทุนควรระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ตลาดการเงินมักสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจและสถานการณ์โลกอยู่เสมอ และในช่วงเดือนเมษายน 2025 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนอย่างชัดเจน ทำให้นักลงทุนและนักวิเคราะห์หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่าตลาดหุ้นกำลังจะเข้าสู่ช่วงขาลงหรือไม่
ปัจจัยที่ทำให้หลายฝ่ายเริ่มกังวล มีทั้งนโยบายภาษีที่รุนแรง ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ รวมถึงสัญญาณทางเศรษฐกิจที่เริ่มชี้ว่าอาจมีการชะลอตัวเกิดขึ้น ดังนั้น คำถามสำคัญคือ ตลาดหุ้นกำลังจะเกิดวิกฤตจริงหรือเปล่า?
สภาพตลาดในปัจจุบัน
ในช่วงต้นเดือนเมษายน 2025 ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรง โดยดัชนี S&P 500 ลดลงไปแล้วถึง 10% นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน สถานการณ์นี้สร้างความวิตกให้กับทั้งนักลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์
การปรับตัวลดลงครั้งนี้ ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากนโยบายภาษีที่เข้มงวดของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ความตึงเครียดทางการค้าเพิ่มสูงขึ้น และทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในวงกว้าง
ตลาดหุ้นส่อวิกฤต: 3 สัญญาณที่ไม่ควรมองข้าม
1) สงครามการค้าและนโยบายภาษี
นโยบายภาษีที่เข้มงวดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อความผันผวนของตลาด โดยในช่วงต้นเดือนเมษายน 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้าเริ่มต้นที่ 10% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ และเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าสำหรับบางภูมิภาค เช่น สินค้าจีนที่ถูกเก็บภาษีสูงถึง 54%
มาตรการดังกล่าวส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ร่วงลงถึง 10% ภายในเวลาเพียง 2 วัน ซึ่งนับเป็นการลดลงที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งนับตั้งแต่ปี 2020 นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า หากนโยบายภาษีที่รุนแรงยังคงดำเนินต่อไป อาจก่อให้เกิดแรงกดดันต่อธนาคาร หุ้นอ่อนตัว และจุดชนวนให้เกิดวิกฤตทางการเงินแบบค่อยเป็นค่อยไป
ในขณะเดียวกัน สหภาพยุโรปได้เสนอข้อตกลง "ภาษีศูนย์ต่อศูนย์" เพื่อยกเลิกภาษีสินค้าประเภทอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันให้สหภาพยุโรปลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่มและข้อกำหนดทางกฎหมายที่เข้มงวด ส่งผลให้การเจรจาติดขัด และยิ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก โดยผู้เชี่ยวชาญบางรายประเมินว่า โอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยอยู่ที่ 60%
2) สัญญาณเศรษฐกิจถดถอยและมุมมองจากภาคธุรกิจ
ผู้นำในภาคธุรกิจหลายรายแสดงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ Larry Fink CEO ของ BlackRock กล่าวว่าผู้บริหารระดับสูงหลายคนที่เขาได้พูดคุยด้วย เชื่อว่าสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว จากผลสำรวจของ CNBC พบว่า 69% ของผู้บริหารระดับสูงคาดว่าเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในไม่ช้า และมากกว่าครึ่งหนึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปีนี้
นโยบายภาษีล่าสุดยิ่งเพิ่มความวิตก ส่งผลให้เกิดแรงขายในตลาดและความผันผวนที่เพิ่มขึ้น สถาบันการเงินหลายแห่งได้ปรับคาดการณ์ตลาดใหม่ ตัวอย่างเช่น Morgan Stanley คาดว่า S&P 500 อาจลดลงเหลือ 4,700 จุด ซึ่งลดลงจากระดับก่อนหน้าราว 7%–8% หากนโยบายภาษีดำเนินต่อไปและธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ไม่ลดดอกเบี้ย
ในทำนองเดียวกัน Oppenheimer ได้ปรับลดเป้าหมายของดัชนี S&P 500 จาก 7,100 จุด เหลือ 5,950 จุด โดยให้เหตุผลว่าเกิดภาวะมองลบอย่างกว้างขวางและมีการขายหุ้นเกินมูลค่า
3) ความผันผวนของตลาดและพฤติกรรมนักลงทุน
การใช้มาตรการภาษีส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนสูง โดยในวันที่ 3 เมษายน 2025 ดัชนี S&P 500 ลดลง 4.8% ขณะที่ NASDAQ ร่วง 5.9% และ Dow Jones ปรับตัวลดลง 4% การเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนความกังวลของนักลงทุนว่าภาษีอาจทำให้ต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าเพิ่มขึ้น จนก่อให้เกิดเงินเฟ้อ
นักวิเคราะห์กำลังจับตาตัวแปรต่าง ๆ ที่อาจบ่งชี้ถึงความเสี่ยงของการพังทลายของตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าหุ้นที่อยู่ในระดับสูง ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ และสัญญาณเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญบางรายจะเตือนถึงโอกาสเกิดวิกฤตครั้งใหญ่ แต่ก็ยังมีอีกหลายฝ่ายที่เชื่อว่าตลาดยังสามารถรับมือกับความผันผวนนี้ได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของสถานการณ์ในปัจจุบัน
บทวิเคราะห์และการคาดการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ
นักวิเคราะห์การเงินและนักเศรษฐศาสตร์ได้แสดงมุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับทิศทางของตลาดในปัจจุบัน ดังนี้:
ความกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอย: Larry Fink ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ BlackRock ชี้ว่าขณะนี้สหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว โดยมีผู้บริหารระดับสูงจำนวนมากเห็นด้วยกับมุมมองนี้ จากผลสำรวจของ CNBC พบว่า 69% ของผู้บริหารระดับสูงคาดว่าจะเกิดภาวะถดถอยในเร็ว ๆ นี้ โดยกว่าครึ่งหนึ่งเชื่อว่าจะเกิดขึ้นภายในปีนี้
แนวโน้มตลาด: นักวิเคราะห์บางรายมองว่า แม้ตลาดกำลังเผชิญกับการปรับฐานอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยการพังทลายอย่างสมบูรณ์ พวกเขาให้เหตุผลว่า ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจยังคงมีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง และตลาดอาจกลับมามีเสถียรภาพได้หากความตึงเครียดทางการค้าคลี่คลายลง
มุมมองสวนกระแส: ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนกลับมองว่าการปรับตัวลดลงในครั้งนี้ อาจเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ โดยเฉพาะในบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่ราคาหุ้นอาจต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และมีแนวโน้มฟื้นตัวเมื่อภาวะตลาดปรับตัวดีขึ้น
สถานการณ์ที่เป็นไปได้และกลยุทธ์การลงทุนในช่วงต่อไป
เมื่อพิจารณาจากตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในปัจจุบันและบทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ พบว่าสถานการณ์ในอนาคตอาจเป็นไปได้หลายแนวทาง ได้แก่:
ตลาดหมีระยะยาว: หากความตึงเครียดทางการค้ายังคงดำเนินต่อไป และดัชนีเศรษฐกิจยังคงอ่อนแอ ตลาดหุ้นอาจเข้าสู่ช่วงตลาดหมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีลักษณะของราคาที่ลดลงอย่างยาวนานและบรรยากาศการลงทุนที่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง
ตลาดเริ่มมีเสถียรภาพ: หากข้อพิพาททางการค้าได้รับการคลี่คลาย และมีข้อมูลเศรษฐกิจในเชิงบวกเกิดขึ้น ตลาดอาจฟื้นตัวและสามารถกลับมาใกล้ระดับเดิมก่อนการปรับฐาน
ความแตกต่างระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรม: กลุ่มอุตสาหกรรมบางประเภท โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยจากมาตรการภาษี หรือกลุ่มที่มุ่งเน้นตลาดภายในประเทศ อาจมีผลประกอบการที่ดีกว่ากลุ่มอื่น ทำให้เกิดสภาวะตลาดที่มีการเคลื่อนไหวแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน
ในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนสูงเช่นนี้ นักลงทุนอาจพิจารณากลยุทธ์ต่อไปนี้:
กระจายความเสี่ยง: การลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ทั้งในด้านประเภทและภูมิภาค ช่วยลดความเสี่ยงจากการปรับตัวลดลงของตลาดในบางส่วน
เน้นพื้นฐานธุรกิจ: การเลือกลงทุนในบริษัทที่มีงบดุลแข็งแกร่ง รายได้มั่นคง และมีความสามารถในการแข่งขัน อาจให้ผลตอบแทนที่มั่นคงมากขึ้นในช่วงที่ตลาดผันผวน
ติดตามข่าวสาร: การติดตามข้อมูลเศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ และสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์อย่างใกล้ชิด จะช่วยให้ตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีข้อมูลและทันสถานการณ์
ประเมินความเสี่ยง: การประเมินระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และระยะเวลาในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้พอร์ตการลงทุนยังคงสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินและระดับความสบายใจของแต่ละบุคคล
สรุป
การที่นโยบายภาษีที่เข้มงวด สัญญาณของภาวะเศรษฐกิจถดถอย และความผันผวนของตลาดหุ้นมาบรรจบกัน ทำให้เกิดการคาดเดาเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการพังทลายของตลาดหุ้นในอนาคต แม้ว่าจะยากที่จะทำนายทิศทางของตลาดได้อย่างแม่นยำ แต่การติดตามข้อมูลเศรษฐกิจ นโยบายของรัฐบาล ความรู้สึกของภาคธุรกิจ และเหตุการณ์ทั่วโลกก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุน
การกระจายการลงทุนและการปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินสามารถช่วยให้เราผ่านความไม่แน่นอนเหล่านี้ไปได้ และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากความผันผวนของตลาด
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
ติดตามราคาทองคำและเงินในปัจจุบัน สำรวจแนวโน้ม 10 ปี ปัจจัยสำคัญ อัตราส่วนราคา และเรียนรู้ว่าเวลาใดอาจเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการซื้อหรือลงทุน
2025-06-13เรียนรู้ว่าญี่ปุ่นใช้สกุลเงินอะไร บทบาทของญี่ปุ่นในฐานะสกุลเงินอย่างเป็นทางการ และเหตุใดจึงเป็นสกุลเงินที่ผู้ค้าสกุลเงินทั่วโลกชื่นชอบ
2025-06-13ค้นพบว่า SWPPX ของ Schwab มอบการเข้าถึง S&P 500 ต้นทุนต่ำได้อย่างไร พร้อมมอบประสิทธิภาพที่มั่นคงและความแข็งแกร่งของพอร์ตโฟลิโอในระยะยาว
2025-06-13