เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-23

ในโลกการเงินปัจจุบัน ดัชนี Nasdaq คือหนึ่งในดัชนีหุ้นที่สำคัญที่สุดของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะ NASDAQ-100 Index ที่รวบรวมบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ที่สุด 100 อันดับแรกในกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น Apple, Microsoft และ NVIDIA หากคุณกำลังมองหาโอกาสเติบโตไปกับเศรษฐกิจยุคใหม่ ดัชนีนี้คือคำตอบที่นักลงทุนไม่ควรพลาด
Nasdaq ย่อมาจาก National Association of Securities Dealers Automated Quotations ก่อตั้งขึ้นในปี 1971 โดยเป็นตลาดหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์แห่งแรกของโลก ซึ่งแตกต่างจากตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ในสมัยนั้นที่ยังใช้การซื้อขายผ่านฟลอร์เทรด Nasdaq จึงกลายเป็นบ้านของบริษัทเกิดใหม่ที่เน้นเทคโนโลยีและความล้ำสมัยมาตั้งแต่ต้น
ดัชนีนี้เปรียบเสมือน "เครื่องยนต์หลัก" ของนวัตกรรมโลก โดยมีสัดส่วนอุตสาหกรรมที่น่าสนใจดังนี้:
เทคโนโลยีสารสนเทศ (48.9%): นำโดย Apple และ NVIDIA
บริการสื่อสาร (16%): เช่น Alphabet (Google) และ Meta
สินค้าฟุ่มเฟือย (14%): อาทิ Amazon และ Tesla
Nasdaq ไม่ได้มีแค่หุ้นซอฟต์แวร์ แต่ครอบคลุมบริษัทที่มีการเติบโตสูง (Growth Stocks) ในหลายมิติ ทั้งเซมิคอนดักเตอร์, พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์, เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech) และพลังงานสะอาด โดยดัชนีที่นักลงทุนนิยมอ้างอิงมากที่สุดคือ NASDAQ-100 ซึ่งคัดเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ 100 อันดับแรกที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน
1. ดัชนี Nasdaq Composite: คือดัชนีที่รวมหุ้นของบริษัททั้งหมดที่จดทะเบียนในตลาด Nasdaq โดยใช้การคำนวณแบบ Market Cap Weighted
2. ดัชนี Nasdaq 100: คือการคัดเฉพาะบริษัทมหาชนที่ใหญ่ที่สุด 100 อันดับแรก เป็นตัวแทนของหุ้นเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
การเคลื่อนไหวของดัชนี Nasdaq มักถูกกำหนดโดยปัจจัยหลัก 3 ประการ:
1. นวัตกรรมและการเติบโตของกำไร (Earnings Growth): เนื่องจากเน้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ผลประกอบการของบริษัทอย่าง "Magnificent Seven" (เช่น Microsoft, Apple, NVIDIA) จึงมีอิทธิพลสูงต่อดัชนี
2. อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Interest Rates): หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมักเป็นหุ้นเติบโตที่อ่อนไหวต่อดอกเบี้ย เมื่อดอกเบี้ยขาลง ต้นทุนเงินทุนจะต่ำลง ส่งผลบวกต่อราคาหุ้น Nasdaq
3. กระแสเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก (Tech Trends): เช่น การพัฒนาของ Artificial Intelligence (AI) ในปัจจุบัน ที่ผลักดันให้หุ้นกลุ่มชิปเซ็ตและคลาวด์คอมพิวติ้งมีมูลค่าพุ่งสูงขึ้น
นักลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนใน Nasdaq ได้หลายช่องทาง ดังนี้:
กองทุนรวม (Mutual Funds): ลงทุนผ่านกองทุนไทยที่มีนโยบายไปลงทุนในกองทุนหลักต่างประเทศที่อิงดัชนี Nasdaq-100
ETF (Exchange Traded Funds): ซื้อขายผ่านตลาดหุ้นโดยตรง เช่น กองทุน QQQ หรือ QQQM ซึ่งจำลองผลตอบแทนของ Nasdaq-100
DR หรือ DRx: สำหรับนักลงทุนไทย สามารถลงทุนผ่านตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ เช่น QQQM19 ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โบรกเกอร์ระดับโลก (เช่น EBC Financial Group): สำหรับผู้ที่ต้องการความคล่องตัวสูง การเทรดผ่านแพลตฟอร์มอย่าง EBC ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่อิงกับดัชนี Nasdaq ได้โดยตรง พร้อมเครื่องมือวิเคราะห์ระดับมืออาชีพ
Nasdaq เน้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Growth Stocks) เป็นหลัก ในขณะที่ S&P 500 กระจายตัวใน 11 อุตสาหกรรม (รวมธนาคารและพลังงาน) Nasdaq จึงมักให้ผลตอบแทนหวือหวากว่าแต่ก็ผันผวนสูงกว่า
ตัวอย่างหุ้นที่คุณจะได้เป็นเจ้าของทางอ้อม ได้แก่ Apple, Microsoft, NVIDIA, Amazon, Meta, Tesla, และ Alphabet เป็นต้น
ปกติจะค่อนข้างต่ำ เฉลี่ยประมาณ 0.5% - 0.8% ต่อปี เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่นำกำไรไปลงทุนต่อ (Re-investment) เพื่อเน้นการเติบโตของราคาหุ้น (Capital Gain)
หุ้นที่มี "คูเมืองทางธุรกิจ" แข็งแกร่ง เช่น Microsoft และ NVIDIA (ผู้นำ AI), Apple (ระบบนิเวศแกร่ง), และ Eli Lilly (นวัตกรรมสุขภาพ)
Nasdaq, Inc. คือบริษัทที่บริหารจัดการตลาดหลักทรัพย์ รายได้มาจากค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน, การขายข้อมูลตลาด (Market Data), และการขายซอฟต์แวร์ระบบซื้อขาย
ดัชนี Nasdaq คือประตูสู่การลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำนวัตกรรมของโลก แม้จะมีความผันผวนสูงกว่าดัชนีตลาดทั่วไป แต่สถิติย้อนหลัง 20 ปีที่ให้ผลตอบแทนสะสมสูงถึง 1,139% ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตที่เหนือชั้น สำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างพอร์ตแห่งอนาคต การมีดัชนี Nasdaq ไว้ในครอบครองถือเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ควรละเลย พร้อมกับการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมครับ
ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหานี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำทางการเงินหรือการลงทุน ความเห็นใดๆ ที่ปรากฏไม่ได้เป็นการแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่าการลงทุนใดๆ เหมาะสมสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน