กนง. ลดดอกเบี้ยเหลือ 1.25% สัญญาณนี้บอกอะไรแก่นักลงทุนใน ตลาดหุ้น?
简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

กนง. ลดดอกเบี้ยเหลือ 1.25% สัญญาณนี้บอกอะไรแก่นักลงทุนใน ตลาดหุ้น?

ผู้เขียน: Blair Cornelia

เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-18

c.png


สวัสดีค่ะนักลงทุนทุกท่าน! ข่าวใหญ่ส่งท้ายปีที่เพิ่งประกาศออกมาสดๆ ร้อนๆ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา คือการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็น "เอกฉันท์" ให้ ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 1.25% ต่อปี ซึ่งถือเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี (นับตั้งแต่มกราคม 2566)


การปรับลดครั้งนี้มีผลทันที และแน่นอนว่ามันส่งแรงกระเพื่อมไปยังโลกการเงินและการลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คำถามสำคัญคือ "เราควรปรับพอร์ตอย่างไร?" วันนี้ [ชื่อ Financial Group ของคุณ] จะมาสรุปให้เข้าใจง่ายๆ ครับ

ทำไม กนง. ถึงตัดสินใจลดดอกเบี้ยในเวลานี้?

People Checking Wallets (1).jpeg

สาเหตุหลักที่ กนง. ตัดสินใจผ่อนคลายนโยบายการเงิน ไม่ใช่แค่เรื่องเงินเฟ้อที่ต่ำ แต่เป็นเพราะ "ภาพรวมเศรษฐกิจที่น่าเป็นห่วง" ครับ โดยมีปัจจัยสำคัญดังนี้:

  • เศรษฐกิจชะลอตัวชัดเจน: ครึ่งปีหลังของไทยแผ่วลงจากภาคการผลิต และจำนวนนักท่องเที่ยวระยะใกล้ที่ลดลง รวมถึงผลกระทบจากน้ำท่วมภาคใต้

  • ความเสี่ยงในปีหน้า: มีการปรับลดประมาณการ GDP ปี 2569 (ปีหน้า) ลงจาก 1.6% เหลือ 1.5%

  • ปัญหาสภาพคล่อง: กลุ่ม SMEs และหนี้ครัวเรือนยังน่าเป็นห่วง สินเชื่อหดตัว และคุณภาพสินเชื่อด้อยลง

  • ปัจจัยภายนอก: ความเสี่ยงจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และการแข็งค่าของเงินบาทที่กดดันผู้ส่งออก


Expert Insight: "เมื่อดอกเบี้ยลดลง สภาพคล่องในระบบอาจจะดีขึ้น แต่ผลตอบแทนจากเงินฝากจะลดลงทันที นี่คือสัญญาณเตือนให้เงินต้อง 'ย้ายที่อยู่' เพื่อหาผลตอบแทนที่ดีกว่าในสินทรัพย์เสี่ยงอย่าง ตลาดหุ้น ค่ะ"


ตลาดหุ้นโลกจะเป็นอย่างไรในปี 2026? และผลกระทบต่อไทย

Advisory Board Business Expansion (1).jpeg

แม้ กนง. จะมองว่าเศรษฐกิจไทยปี 2570 อาจฟื้นตัวได้ที่ 2.3% แต่ระหว่างทางในปี 2569 ที่จะถึงนี้ ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย โดยเฉพาะปัจจัยจาก ตลาดหุ้น สหรัฐ และนโยบายการค้าโลก


ความท้าทายจากฝั่งสหรัฐฯ และค่าเงินบาท

แถลงการณ์ระบุชัดเจนว่า ต้องจับตา "มาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ" ที่อาจมีความเข้มข้นขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกของไทยโดยตรง นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (ตามทิศทางดอกเบี้ยเฟด) ยิ่งซ้ำเติมภาคการผลิต


ทำไมต้องมองหาโอกาสใน "ตลาดหุ้น สหรัฐ"?

ในขณะที่เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าศักยภาพและเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง การกระจายความเสี่ยง (Diversification) ไปยัง ตลาดหุ้น สหรัฐ หรือตลาดโลก จึงเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด เพราะ:

หนีการชะลอตัวในประเทศ: ไปหาการเติบโตในตลาดที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยี

โอกาสจากวัฏจักรดอกเบี้ย: ทั่วโลกเริ่มเข้าสู่ยุคดอกเบี้ยขาลง ซึ่งมักเป็นบวกต่อตลาดหุ้นในระยะยาว


กลยุทธ์การลงทุนเมื่อดอกเบี้ยต่ำ และเศรษฐกิจเปราะบาง

จากมติ กนง. ที่ย้ำว่า "พร้อมปรับนโยบายให้เหมาะสม แต่กระสุนมีจำกัด" แปลว่าเราต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น การลงทุนในปีหน้าควรเน้นไปที่:

  1. หุ้นกลุ่ม Defensive: ใน ตลาดหุ้น ไทย เลือกหุ้นที่มีปันผลสูงและกระแสเงินสดดี เพื่อชดเชยส่วนต่างดอกเบี้ยที่ลดลง

  2. กระจายความเสี่ยงไปต่างประเทศ: โดยเฉพาะ ตลาดหุ้น สหรัฐ ในเซกเตอร์ที่ยังเติบโตได้แม้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว

  3. ระวังกลุ่มเปราะบาง: หลีกเลี่ยงหุ้นที่อิงกับกำลังซื้อรากหญ้า หรือ SMEs ที่กำลังขาดสภาพคล่อง


บทสรุป

การลดดอกเบี้ยเหลือ 1.25% คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่บอกว่า "การฝากเงินเฉยๆ อาจไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป" ถึงเวลาที่คุณต้องมองหาโอกาสใน ตลาดหุ้น เพื่อเอาชนะเงินเฟ้อและสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว


บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ความรู้เท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน บทความนี้สะท้อนมุมมองของ EBC Financial Group และหน่วยงานทั่วโลกของบริษัทเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำด้านการเงินหรือการลงทุน การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราแลกเปลี่ยน (FX) มีความเสี่ยงสูง อาจทำให้สูญเสียเงินลงทุนเริ่มต้นทั้งหมดหรือมากกว่า โปรดปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน EBC Financial Group และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใด ๆ ที่เกิดจากการอ้างอิงข้อมูลนี้ 


บทความแนะนำ
เงินเฟ้อสหรัฐฯ และการลดดอกเบี้ยของ RBNZ: ปัจจัยอะไรที่กำลังขับเคลื่อน AUD และ NZD ตอนนี้
อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษชะลอตัวลงเหลือ 3.6% ก่อนการคาดเดาอัตราดอกเบี้ย
ภาวะเงินฝืด (Deflation) ในการเทรดคืออะไร?
ทำไมหุ้นสหรัฐร่วงลงวันนี้? 5 ปัจจัยสำคัญที่กดดันตลาด
กลยุทธ์เทรด USD/JPY ท่ามกลางความผันผวนของเยน ก่อนการขึ้นดอกเบี้ยของ BoJ