简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

เริ่มต้นรู้จักโบรกเกอร์ A-book กุญแจสู่การเทรดอย่างยุติธรรม

เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-23    อัปเดตเมื่อ: 2025-10-24

เทรดเดอร์ทุกคนล้วนเริ่มต้นด้วยเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการค้นหาโบรกเกอร์ที่เทรดอย่างยุติธรรม แต่เบื้องหลังการเทรดทุกครั้ง มีความแตกต่างสำคัญในการดำเนินงานของโบรกเกอร์ ซึ่งอาจเป็นตัวตัดสินได้ว่า โบรกเกอร์ของคุณจะได้กำไร เมื่อคุณชนะ หรือเมื่อคุณขาดทุน ความแตกต่างนี้อยู่ระหว่าง โมเดล A-Book และ B-Book การเข้าใจว่า “โบรกเกอร์ A-Book” ทำงานอย่างไร จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับ ความโปร่งใส การส่งคำสั่งเข้าสู่ตลาดจริง และผลประโยชน์ที่สอดคล้องกัน


พูดให้เข้าใจง่ายคือ โบรกเกอร์ A-Book คือคนกลางที่ส่งคำสั่งเทรดของคุณเข้าสู่ตลาดจริง ไม่ได้มาอยู่ฝั่งตรงข้ามของคุณ สิ่งนี้สร้างความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนความยุติธรรม โดยโบรกเกอร์จะได้รับผลตอบแทนจากค่าธรรมเนียมหรือส่วนต่างสเปรด ไม่ใช่จากการขาดทุนของคุณ เรามาทำความเข้าใจกันให้ชัดเจนขึ้นว่า โมเดลนี้ทำงานอย่างไร และทำไมมันถึงสำคัญสำหรับนักเทรดทุกคน

โบรกเกอร์ A Book


โบรกเกอร์ A-Book คืออะไร


โบรกเกอร์ A-Book ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างเทรดเดอร์และตลาดการเงินโลก แทนที่จะเข้ามาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคำสั่งเทรดของคุณ โบรกเกอร์ประเภทนี้จะส่งคำสั่งซื้อขายของคุณไปยังแหล่งสภาพคล่องภายนอก เช่น ธนาคาร กองทุนเฮดจ์ฟันด์ หรือสถาบันการเงินขนาดใหญ่


นั่นหมายความว่า กำไรหรือขาดทุนของคุณจะขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของตลาดจริงทั้งหมด ไม่ใช่ระบบภายในของโบรกเกอร์ รายได้ของโบรกเกอร์จะมาจากค่าคอมมิชชันเล็กน้อย หรือส่วนต่างราคา (spread) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่โปร่งใสและสอดคล้องกับผลประโยชน์ของลูกค้า ยิ่งคุณเทรดได้บ่อยและประสบความสำเร็จมากเท่าไร โบรกเกอร์ก็ยิ่งมีรายได้มากเท่านั้น


ในตลาด Forex และ CFD วิธีดำเนินการแบบนี้มักเรียกว่า Straight Through Processing (STP) หรือ Electronic Communication Network (ECN) ทั้งสองระบบนี้ช่วยให้คำสั่งเทรดของคุณถูกส่งเข้าสู่ตลาดจริง ไม่ผ่านโต๊ะดีลภายในของโบรกเกอร์


วิธีการทำงานของระบบ A-Book


แม้จะฟังดูซับซ้อน แต่กระบวนการทำงานของโบรกเกอร์ A-Book นั้นตรงไปตรงมา:


  1. คุณส่งคำสั่งเทรด สมมติว่าคุณซื้อ EUR/USD ที่ราคา 1.0750

  2. โบรกเกอร์ส่งคำสั่งนั้นไปยังผู้ให้สภาพคล่อง เช่น ธนาคารระดับโลกหรือผู้สร้างตลาดสถาบัน

  3. ผู้ให้สภาพคล่องดำเนินการเทรดที่ราคาที่ดีที่สุดในขณะนั้น และส่งการยืนยันกลับมา

  4. โบรกเกอร์ได้รับค่าธรรมเนียมหรือมาร์จิ้นเล็กน้อย เช่น 0.2 pips บนส่วนต่างราคา


กระบวนการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่มิลลิวินาที ผ่านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อขั้นสูงที่รวบรวมราคาจากผู้ให้สภาพคล่องหลายราย ผลลัพธ์คือ การกำหนดราคาที่โปร่งใส สภาพคล่องลึก และการส่งคำสั่งที่ยุติธรรม


ตัวอย่างเช่น หากหลายธนาคารเสนอราคา EUR/USD ระหว่าง 1.0749 ถึง 1.0751 โบรกเกอร์ A-Book จะดำเนินคำสั่งของคุณที่ราคาที่ดีที่สุด เช่น 1.0750 และส่งคำสั่งนั้นเข้าสู่ตลาดจริง แทนที่จะถือไว้ภายในบริษัทเอง


จุดเด่นของโบรกเกอร์ A-Book


โบรกเกอร์ A-Book ทำงานบนหลักการของความยุติธรรมและความโปร่งใส โดยมีลักษณะเด่นดังนี้:


  • การกำหนดราคาตามตลาดจริงซึ่งมาจากผู้ให้บริการสภาพคล่องของสถาบันโดยตรง

  • ไม่มีโต๊ะดีล (Dealing Desk) หรือการแทรกแซงคำสั่งซื้อขาย

  • สเปรดแบบแปรผันที่สะท้อนสภาวะตลาดจริงแบบเรียลไทม์

  • ความเร็วในการดำเนินคำสั่งสูง ด้วยการเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์โดยตรง

  • โครงสร้างผลประโยชน์ที่สอดคล้องกัน ระหว่างโบรกเกอร์และลูกค้า


โมเดลนี้ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการเทรดที่ยุติธรรม โปร่งใส และมีมาตรฐานเดียวกับที่นักลงทุนสถาบันระดับมืออาชีพใช้จริงในตลาดโลก


ตัวอย่างจริง: โบรกเกอร์ A-Book ปกป้องเทรดเดอร์ได้อย่างไร?


ลองจินตนาการถึงเทรดเดอร์สองคนที่เทรดคู่สกุลเงินเดียวกันคือ EUR/USD โดยเทรดเดอร์ A ใช้โบรกเกอร์ A-Book ส่วน เทรดเดอร์ B ใช้โบรกเกอร์ B-Book


เมื่อมีการประกาศรายงานเงินเฟ้อสำคัญของสหรัฐฯ ความผันผวนในตลาดพุ่งสูงขึ้น โบรกเกอร์ A-Book ของเทรดเดอร์ A จะส่งคำสั่งซื้อขายเข้าสู่ตลาดจริงโดยตรง แม้สเปรดจะกว้างขึ้นชั่วคราวจากความผันผวน แต่การดำเนินคำสั่งยังคงยุติธรรม ไม่มีการแทรกแซง


ในทางกลับกัน โบรกเกอร์ B-Book ของเทรดเดอร์ B จะเก็บคำสั่งไว้ภายในระบบ เมื่อราคาขยับรุนแรง โบรกเกอร์อาจ รีโควต (Re-quote), หน่วงเวลา (Delay) หรือ ขยายสเปรด เพื่อป้องกันความเสี่ยงของตนเอง ความแตกต่างนี้อาจทำให้เทรดเดอร์พลาดจังหวะทำกำไร หรือขาดทุนมากกว่าที่ควรในช่วงราคาผันผวน


ผลการทดสอบอิสระในปี 2024 พบว่า โบรกเกอร์ A-Book มีความเร็วในการดำเนินคำสั่งเฉลี่ยไม่เกิน 30 มิลลิวินาที ขณะที่ B-Book มีค่าเฉลี่ยราว 90 มิลลิวินาที ซึ่งถือว่าเป็นช่องว่างที่มีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงข่าวหรือเหตุการณ์ที่ตลาดเคลื่อนไหวเร็ว


ข้อดีและข้อเสียของโบรกเกอร์ A-Book


ข้อดี:


  • การดำเนินคำสั่งโปร่งใส ปราศจากความขัดแย้งทางผลประโยชน์

  • ราคาเทรดสะท้อนจากตลาดจริงและสภาพคล่องจริง

  • ไม่มีการแทรกแซงหรือปรับแต่งคำสั่งโดยโบรกเกอร์

  • ได้รับความเชื่อมั่นสูง เหมาะกับเทรดเดอร์มืออาชีพและระบบอัตโนมัติ (Algo Trading)


ข้อเสีย:


  • สเปรดอาจขยายในช่วงตลาดผันผวนรุนแรง

  • มีค่าคอมมิชชันเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากต้นทุนการส่งคำสั่งจริง

  • อาจเกิด Slippage (ราคาคลาดเคลื่อนเล็กน้อย) เมื่อสภาพคล่องในตลาดบางช่วงมีจำกัด


โดยทั่วไป สเปรดของคู่สกุลเงินหลักอย่าง EUR/USD จะอยู่ระหว่าง 0.1–0.3 pips และจะขยายขึ้นชั่วคราวในช่วงประกาศตัวเลขสำคัญ เช่น Non-Farm Payrolls หรือ การตัดสินใจอัตราดอกเบี้ย


โบรกเกอร์ A-Book สร้างรายได้อย่างไร?


ต่างจากโบรกเกอร์ B-Book ที่ทำกำไรจากการขาดทุนของลูกค้า  โบรกเกอร์ A-Book มีรายได้จาก 2 ช่องทางหลัก ได้แก่


  1. ค่าคอมมิชชั่น เช่น 7 ดอลลาร์ต่อการเทรดมาตรฐาน (Standard Lot)

  2. ส่วนต่างราคา โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 0.1–0.3 pips


รูปแบบนี้ช่วยให้โบรกเกอร์มีรายได้ที่ยั่งยืนและโปร่งใส หากลูกค้าเทรดบ่อยและเทรดได้ดี โบรกเกอร์ก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องขัดแย้งกับผลประโยชน์ของลูกค้า สิ่งนี้ส่งเสริมให้เกิดความไว้วางใจและความภักดีในระยะยาว


A-Book vs B-Book: ความแตกต่างที่แท้จริง


วิธีที่ง่ายที่สุดในการแยกความต่างระหว่าง A-Book และ B-Book คือ ดูว่าใครอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคำสั่งเทรดของคุณ


  • A-Book: ส่งคำสั่งเข้าสู่ตลาดจริง โบรกเกอร์ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้เชื่อมต่อกลาง

  • B-Book: โบรกเกอร์รับคำสั่งไว้ภายในและกลายเป็น “คู่เทรด” ของคุณโดยตรง


ความแตกต่างนี้มีผลต่อทุกอย่าง ตั้งแต่คุณภาพการดำเนินคำสั่ง ไปจนถึงจิตวิทยาการเทรดของนักลงทุน ในสภาพแวดล้อมของ A-Book เทรดเดอร์สามารถมั่นใจได้ว่าผลลัพธ์ของการเทรดขึ้นอยู่กับตลาดจริงเท่านั้น


ตัวอย่างเช่น ในช่วงประกาศ ตัวเลข CPI ของสหรัฐฯ ปี 2023 เทรดเดอร์ที่ใช้โบรกเกอร์ A-Book พบกับความผันผวนชั่วคราว แต่ไม่มีการแทรกแซง ขณะที่โบรกเกอร์ B-Book หลายรายกลับขยายสเปรดสูงถึง 10 pips เพื่อบริหารความเสี่ยงภายในของตนเอง ส่งผลให้ผลลัพธ์ของการเทรดบิดเบือนจากสภาวะตลาดจริงอย่างมีนัยสำคัญ

โบรกเกอร์  A-Book


ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับโบรกเกอร์ A-Book


  • “โบรกเกอร์ A-Book มีสเปรดคงที่เสมอ” — ไม่จริง

    สเปรดของโบรกเกอร์ A-Book เป็นสเปรดแบบแปรผัน (Variable Spread) ซึ่งสะท้อนถึงสภาพคล่องจริงในตลาดขณะนั้น

  • “โบรกเกอร์ A-Book รับประกันว่าจะไม่มี Slippage” — ไม่จริงเช่นกัน

    Slippage หรือความคลาดเคลื่อนของราคาอาจเกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวรวดเร็ว

  • “โบรกเกอร์ที่ถูกกำกับดูแลทั้งหมดคือ A-Book” — ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น

    การถูกกำกับดูแลหมายถึงการปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่ไม่ได้หมายความว่าโบรกเกอร์นั้นจะใช้โมเดล A-Book เสมอไป


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโบรกเกอร์ A-Book


Q1. คำว่า A-Book หมายถึงอะไรในการเทรด Forex?


A-Book คือโมเดลของโบรกเกอร์ที่ส่งคำสั่งเทรดของลูกค้าเข้าสู่ผู้ให้สภาพคล่องภายนอกโดยตรง โดยโบรกเกอร์จะไม่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับคำสั่งเทรดของลูกค้า ทำให้การดำเนินคำสั่งมีความยุติธรรมและโปร่งใส


Q2. ถ้าโบรกเกอร์ A-Book ไม่เทรดสวนลูกค้า แล้วเขาหาเงินอย่างไร?


โบรกเกอร์ A-Book มีรายได้จาก ค่าคอมมิชชัน หรือมาร์จิ้นเล็กน้อยในสเปรด ยิ่งลูกค้าเทรดมากเท่าไหร่ โบรกเกอร์ก็ยิ่งมีรายได้มากขึ้น ซึ่งทำให้ผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายสอดคล้องกัน


Q3. จะรู้ได้อย่างไรว่าโบรกเกอร์ของเราทำงานแบบ A-Book หรือไม่?


ให้สังเกตคำว่า “STP” หรือ “ECN” ในรายละเอียดบัญชีหรือเอกสารนโยบายการดำเนินคำสั่งของโบรกเกอร์ โบรกเกอร์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลมักจะเปิดเผยข้อมูลนี้อย่างโปร่งใสในเว็บไซต์หรือรายงานทางการ


ภาพรวมสำคัญ


สำหรับมือใหม่ การเข้าใจว่า โบรกเกอร์ A-Book ทำงานอย่างไร คือก้าวแรกสู่การเทรดที่ ยุติธรรม โปร่งใส และน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เพราะสิ่งนี้จะเป็นตัวกำหนดว่า คำสั่งของคุณถูกส่งไปถึงตลาดจริงหรือไม่ และว่าโบรกเกอร์ของคุณมีแรงจูงใจไปในทิศทางเดียวกับคุณหรือเปล่า


การเลือกโบรกเกอร์ A-Book คือการให้ความสำคัญกับคุณภาพการดำเนินคำสั่ง ความโปร่งใส และความสำเร็จในระยะยาว ในยุคที่ “ความไว้วางใจ” และ “เทคโนโลยี” คือปัจจัยขับเคลื่อนหลักของตลาดการเงิน โมเดล A-Book จึงยังคงเป็น มาตรฐานของอุตสาหกรรม สำหรับการเทรดที่มีจริยธรรมและโปร่งใสที่สุด


คำศัพท์น่ารู้: สรุปสั้น ๆ ที่ควรจำ


  • ผู้ให้บริการสภาพคล่อง (Liquidity Provider): สถาบันการเงินหรือธนาคารที่เสนอราคาซื้อ–ขายในตลาด

  • สเปรด: ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) และราคาขาย (Ask)

  • STP (Straight Through Processing): ระบบส่งคำสั่งเทรดอัตโนมัติไปยังผู้ให้สภาพคล่องโดยไม่ผ่านการแทรกแซง

  • ECN (Electronic Communication Network): ระบบเครือข่ายที่เชื่อมต่อนักเทรดหลายฝ่ายเข้าหากันโดยตรงในตลาด


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ