เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-21
21 ต.ค. 2025 - ราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันจันทร์ โดยได้แรงหนุนจากความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม และจากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองทั่วโลก นักลงทุนยังจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน และข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในสัปดาห์นี้
ราคาทองคำสปอตปรับขึ้น 2.3% แตะ 4,346.39 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ณ เวลา 13:47 น. ET) ขณะที่สัญญาทองคำล่วงหน้าสหรัฐฯ ส่งมอบเดือนธันวาคมปิดตลาดเพิ่มขึ้น 3.5% ที่ 4,359.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากเมื่อวันศุกร์ ราคาทองคำเคยพุ่งทำสถิติสูงสุดที่ 4,378.69 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนจะร่วงลง 1.8% จากถ้อยแถลงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ช่วยคลายความกังวลด้านความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศ
เจฟฟรีย์ คริสเตียน หุ้นส่วนผู้จัดการของ CPM Group ระบุว่า ปัจจัยทางการเมืองและเศรษฐกิจกำลังผลักดันราคาทองคำให้ปรับตัวสูงขึ้นอีก หลังจากการเทขายเมื่อวันศุกร์ พร้อมคาดว่าราคาทองคำอาจแตะระดับ 4,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และมีโอกาสแตะถึง 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในปีหน้า หากสถานการณ์การเมืองยังคงซับซ้อนต่อเนื่อง
ในสหรัฐฯ การชัตดาวน์ของรัฐบาลได้เข้าสู่วันที่ 20 หลังวุฒิสภาไม่สามารถหาข้อยุติได้เป็นครั้งที่สิบ ส่งผลให้การเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญล่าช้า รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งคาดว่าจะประกาศได้ในวันศุกร์นี้ ขณะเดียวกัน ตลาดให้น้ำหนักเกือบ 99% ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า และอาจลดอีกครั้งในเดือนธันวาคม ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน
โลหะมีค่าชนิดอื่น ๆ เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน เงิน (Silver) เพิ่มขึ้น 0.6% แตะ 52.17 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังร่วงแรง 4.4% เมื่อวันศุกร์ ขณะที่แพลทินัมขยับขึ้น 1.9% สู่ระดับ 1,640.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และพัลลาเดียมเพิ่ม 1.5% อยู่ที่ 1,496.59 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) เคลื่อนไหวซบเซาเป็นวันที่สองติดต่อกัน โดยล่าสุดซื้อขายอยู่ราว 56.80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงเช้าวันอังคาร ตามเวลาภูมิภาคเอเชีย สาเหตุหลักมาจากความกังวลเรื่องอุปทานล้นตลาดและความเสี่ยงต่ออุปสงค์ที่ลดลง จากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นสองเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของโลก
ตลาดน้ำมันเผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้นจากปริมาณน้ำมันที่เก็บในทะเลซึ่งอยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ โดยสิ้นสุดสัปดาห์ที่ 17 ตุลาคม มีน้ำมันดิบและคอนเดนเสตรวมราว 1.24 พันล้านบาร์เรลถูกขนส่งทางเรือ เพิ่มขึ้นจาก 1.22 พันล้านบาร์เรลในสัปดาห์ก่อนหน้า
แม้ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงความเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุ “ข้อตกลงที่ยุติธรรม” กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ระหว่างการพบกันที่เกาหลีใต้ในสัปดาห์หน้า ซึ่งอาจช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดการค้า แต่ประเด็นภาษี เทคโนโลยี และการเข้าถึงตลาดยังคงเป็นปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไข
ขณะเดียวกัน เจมิสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ แสดงท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้น โดยกล่าวหาว่าจีนมีพฤติกรรม “บีบบังคับทางเศรษฐกิจ” ต่อบริษัทที่ลงทุนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ
ในรัสเซีย โรงกลั่นน้ำมันโนโวคุยบีเชฟสค์ ภายใต้การควบคุมของบริษัท Rosneft ต้องหยุดดำเนินการหลังถูกโจมตีด้วยโดรนเมื่อวันอาทิตย์ ขณะที่โรงแยกก๊าซในเมืองโอเรนบูร์กก็ถูกโจมตีเช่นกัน ทำให้คาซัคสถานต้องลดการผลิตที่แหล่งคาราชากานัคลง 25%–30%
สถานการณ์ดังกล่าวอาจช่วยพยุงราคาน้ำมันได้บางส่วนจากความไม่แน่นอนของอุปทานรัสเซีย ด้านทรัมป์เตือนว่า อินเดียอาจเผชิญ “ภาษีมหาศาล” หากยังคงซื้อน้ำมันรัสเซียต่อไป โดยอินเดียได้กลายเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรัสเซียรายใหญ่ที่สุด หลังชาติตะวันตกใช้มาตรการคว่ำบาตรมอสโก
ตลาดการเงินทั่วโลกกำลังเคลื่อนไหวภายใต้เงื่อนไขของ “ความไม่แน่นอน” ที่ซับซ้อน ราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากคาดการณ์การลดดอกเบี้ยและความเสี่ยงทางการเมือง ขณะที่ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากอุปทานส่วนเกินและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ แม้ทั้งสองตลาดเคลื่อนไหวต่างทิศ แต่ต่างสะท้อนภาพเดียวกันของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเปราะบางและไร้ทิศทางแน่ชัดในช่วงปลายปีนี้
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ