การลดลงอย่างรวดเร็วของหุ้น Amazon และปฏิกิริยาของเทคโนโลยีที่หลากหลายทำให้เกิดคำถามว่า การเคลื่อนไหวล่าสุดของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ กำลังเป็นสัญญาณเตือนถึงการปรับฐานในตลาดในวงกว้างหรือไม่?
หุ้นเทคโนโลยีเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาดวอลล์สตรีตตลอดช่วงปี 2025 แต่ความเคลื่อนไหวล่าสุดของบริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่มนี้กำลังจุดประกายคำถามใหม่ ๆ บนโต๊ะเทรดทั่วทั้งตลาดว่า: ความผันผวนในช่วงนี้ของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ อาจเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าของการปรับฐานในวงกว้างหรือเปล่า?
หลังจากที่กลุ่ม "Magnificent Seven" หรือหุ้น 7 นางฟ้า ซึ่งรวมถึงบริษัทชั้นนำอย่าง Microsoft, Amazon, Apple, Meta, Nvidia, Alphabet และ Tesla ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องในช่วงเดือนกรกฎาคม กลุ่มนี้กลับเริ่มสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อบรรยากาศของตลาด ด้วยผลประกอบการที่ผันผวนและปฏิกิริยาที่ไม่แน่นอนจากนักลงทุน มาดูกันว่าอะไรคือปัจจัยที่กระตุ้นความกังวลนี้ วิเคราะห์ตัวเลขที่เกี่ยวข้องและพิจารณาว่าการปรับฐานอาจใกล้เข้ามาหรือไม่
Amazon กลายเป็นข่าวพาดหัวทั่วโลกหลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2025 ซึ่งหากดูจากตัวเลขแล้วถือว่าน่าประทับใจ:
กำไรสุทธิ: พุ่งขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 18.2 พันล้านดอลลาร์
รายได้: เพิ่มขึ้น 13% เป็น 167.7 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้
แต่แม้ผลประกอบการจะออกมาดี ราคาหุ้นของ Amazon กลับร่วงลงมากกว่า 7% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการและในตลาดยุโรป ทำไมนักลงทุนจึงเทขาย? คำตอบคือ ตลาดกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของธุรกิจคลาวด์ โดยรายได้จาก AWS เพิ่มขึ้น 17.5% เป็น 30.9 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งแม้จะเติบโต แต่ก็ยังช้ากว่าคู่แข่งอย่าง Microsoft Azure
นอกจากนี้ แนวโน้มในอนาคตของบริษัทก็บ่งชี้ถึงการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่สูงขึ้น และความกังวลว่าการเติบโตของคลาวด์อาจชะลอลง ผลคือ แม้ตัวเลขรายงานจะน่าประทับใจ แต่ตลาดกลับให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้านกำไรและการเติบโตในอนาคตมากกว่า
หากเปรียบเทียบกับ Amazon ที่สะดุด Microsoft และ Meta กลับรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง:
Microsoft: รายได้จาก Azure ทะลุ 75 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ช่วยให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้น 8–12% หลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 2
Meta Platforms: ราคาหุ้นพุ่งขึ้นหลังเวลาทำการเช่นกัน หลังยอดขายเกินคาดและให้มุมมองบวกต่อไตรมาสถัดไป
Apple: ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 2% หลังรายงานรายได้ไตรมาส 3 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 94 พันล้านดอลลาร์ โดยมียอดขาย iPhone และบริการทำสถิติใหม่
แม้บริษัทเหล่านี้จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน แต่ก็ไม่สามารถหยุดการปรับลงของดัชนีตลาดโดยรวมได้ โดยในวันพฤหัสบดีฟิวเจอร์สของ S&P 500 ลดลง 0.16% และ Nasdaq 100 ลดลง 0.23% สะท้อนถึงความรู้สึกระแวดระวังที่ยังแฝงอยู่ในตลาด
ผลประกอบการล่าสุดเผยให้เห็นภาพที่แตกต่างกัน:
ความแข็งแกร่งของ Microsoft และ Meta ช่วยบดบังความกังวลในภาคเทคโนโลยี โดยเฉพาะเมื่อ Amazon แสดงท่าทีระมัดระวังต่ออนาคตของธุรกิจคลาวด์
หุ้นเทคโนโลยีขนาดเล็กและหุ้นที่อิงกับการใช้จ่ายผู้บริโภคบางส่วนให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาด สะท้อนความกระตือรือร้นในวงกว้างที่ลดลง
ฟิวเจอร์สและดัชนีความผันผวน (Volatility) บ่งชี้ว่าเทรดเดอร์เริ่มป้องกันความเสี่ยงและเตรียมรับมือกับความเคลื่อนไหวที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อประเด็นภาษีและการค้ากลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง
แม้ภาคเทคโนโลยีขนาดใหญ่จะเป็นผู้นำตลาด แต่แรงส่งของตลาดโดยรวมเริ่มมีรอยร้าว:
Microsoft ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยมูลค่าตลาดที่แตะ 4 ล้านล้านดอลลาร์ กลายเป็นบริษัทที่สองที่ทำได้ แต่แม้จะมีการเติบโตอันน่าทึ่ง ตลาดก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงการหมุนเวียนกลุ่มหุ้นและการขายทำกำไรได้
การร่วงลงของหุ้น Amazon หลังรายงานผลประกอบการได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและดัชนีตลาดโดยรวม เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นที่สูงเกินไปและความคาดหวังที่มากเกินจริง
นอกภาคเทคโนโลยี ข้อมูลเศรษฐกิจยังคงผสมผสานกัน :การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่ง (GDP ไตรมาส 2 โต 3.0%) แต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผลตอบแทนจากหุ้นขนาดเล็กกลับล้าหลัง
พายุแห่งความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัยกำลังก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการปรับฐานในตลาด:
ความเสี่ยงในการประเมินมูลค่า: หุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่หลายตัวมีการซื้อขายใกล้หรือในระดับมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดการกลับตัวอย่างรุนแรงมากขึ้นหากการเติบโตสะดุดหรือคำแนะนำไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
การกระจุกตัวของกำไร: กำไรในตลาดเริ่มกระจุกอยู่ในหุ้นขนาดใหญ่น้อยราย ขณะที่หุ้นกลุ่มอื่นตามไม่ทัน ซึ่งมักเป็นสัญญาณเบื้องต้นของตลาดที่ใกล้จะถึงจุดสูงสุด
ภาษีศุลกากรและอุปสรรคทางการค้า: อัตราภาษีใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ (ตั้งแต่ 10% จนถึงสูงสุด 41%) ได้จุดประกายความกังวลเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะกับบริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติ
ความระมัดระวังของเฟดและความไม่แน่นอนของนโยบาย: เฟดคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25–4.50% และไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มหุ้นที่ไวต่ออัตราดอกเบี้ย
การทำกำไรหลังจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง: หลังจากตลาดปรับตัวขึ้นหลายสัปดาห์ แม้เพียงความผิดหวังเล็กน้อย เช่น ผลประกอบการของ AWS ที่โตช้ากว่าคาด ก็สามารถจุดชนวนให้เกิดการปรับลงที่รุนแรงได้
สถานการณ์ | ปฏิกิริยาของตลาดที่เป็นไปได้ |
---|---|
หุ้นเทคโนโลยีผลประกอบการดี + แนวโน้มแข็งแกร่ง | ดัชนีมีเสถียรภาพ, เกิดการหมุนเวียนภายในกลุ่มเทค |
แนวโน้มต่ำกว่าคาด / ต้นทุนสูงขึ้น | การปรับฐานรุนแรงทั้งใน S&P และ Nasdaq, นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยง |
กลุ่มอื่น ๆ ยังอ่อนแอ | ความกว้างของตลาดแคบลง, การเข้าซื้อแบบเลือกเป็นรายตัว |
ความตึงเครียดด้านนโยบาย / การค้ารุนแรงขึ้น | ความผันผวนเพิ่มขึ้น, นักลงทุนแห่เข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัยและสภาพคล่องสูง |
แม้การเคลื่อนไหวที่รุนแรงของหุ้น Amazon และบรรยากาศที่ระมัดระวังในตลาดฟิวเจอร์สจะควรค่าแก่การจับตา แต่อารมณ์ของตลาดยังไม่ถึงจุดสิ้นหวัง กลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ยังคงเป็นผู้นำตลาด แต่ในขณะที่ความผันผวนเพิ่มขึ้นและความคาดหวังสูงเป็นพิเศษ ตลาดอาจพร้อมเข้าสู่ภาวะการปรับฐานหากมีสัญญาณลบเพิ่มขึ้น
ณ ตอนนี้นักลงทุนที่มีประสบการณ์กำลังจับตาทั้ง "ตัวเลข" และ "เรื่องเล่า" อย่างใกล้ชิด โดยพิจารณาว่า “Magnificent Seven” จะสามารถรักษาความแข็งแกร่งได้หรือไม่ ในขณะที่ตลาดส่วนที่เหลือเริ่มอ่อนแรง ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าหรือเพียงแค่การพักฐานชั่วคราว สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ ยุคที่หุ้นเทคโนโลยีพาตลาดขึ้นอย่างง่ายดายอาจจบลงแล้วอย่างน้อยก็ในระยะนี้
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
ราคาหุ้นของ SoftBank พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากการลงทุนใน AI การฟื้นตัวของ Vision Fund และแผน IPO ขนาดใหญ่ช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนในปี 2024
2025-08-08ค่าเงินปอนด์ทรงตัวในวันศุกร์ หลังจากที่สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ กำลังกลายเป็นตัวเต็งที่จะได้รับตำแหน่งประธานธนาคารกลางจากทีมของทรัมป์
2025-08-08สหรัฐฯ ตั้งภาษีทองคำแท่ง 1 กิโลกรัม กระทบตลาดทองคำโลกและศูนย์กลั่นทองคำสวิตเซอร์แลนด์ ส่อดันราคาทองคำครึ่งหลังปี 2025 พุ่งแรง
2025-08-08