เทรดเดอร์ (Trader) คืออะไร ต่างกับนักลงทุนยังไง?

ในโลกการเงินยุค 2025 อาชีพเทรดเดอร์ (Trader) หรือที่หลายคนสงสัยว่า เทรดเดอร์ คือ อะไร เริ่มกลายเป็นหนึ่งในคำค้นหายอดนิยม เพราะหลังจากตลาดการเงินทั่วโลกเผชิญความผันผวนหนักมาตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั้งค่าเงิน หุ้น ทองคำ คู่เงินฟอเร็กซ์  และคริปโตฯ ต่างขึ้นลงแรงจนเปิดโอกาสให้หลายคนเข้ามาหากำไรจากการซื้อขายระยะสั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก

บทความนี้จะพาทุกคนไปเจาะลึกว่า เทรดเดอร์ คืออะไร มีหน้าที่ทำอะไร มีกี่ประเภท วิธีการเทรดต่างกันแค่ไหน ต้องรู้อะไรก่อนเริ่มต้น และที่สำคัญ เทรดเดอร์ต่างจากนักลงทุนทั่วไปยังไง เพื่อให้มือใหม่เข้าใจและเตรียมตัวได้ถูกต้องก่อนก้าวเข้าสู่สนามจริงของโลกเทรดดิ้งที่ท้าทาย

เทรดเดอร์ (Trader) มีกี่ประเภท ต่างกันอย่างไร?

เมื่อพูดถึง เทรดเดอร์ คือ อะไร คำตอบไม่ได้มีแค่หนึ่งแบบ เพราะ เทรดเดอร์ คือ คนที่ซื้อขายสินทรัพย์เพื่อหากำไร จากความผันผวนของราคาในแต่ละช่วงเวลา แต่เบื้องหลังนั้น เทรดเดอร์มีการแบ่งประเภทตามพฤติกรรม วิธีเทรด และระยะเวลาที่ถือครองสถานะที่แตกต่างกัน เพื่อให้แต่ละคนเลือกสไตล์ที่เหมาะกับเวลาและไลฟ์สไตล์ของตัวเองมากที่สุด โดยหลัก ๆ แล้ว เทรดเดอร์ คือ กลุ่มที่แบ่งออกได้ 4 ประเภทหลัก  ได้แก่ Scalper, Day Trader, Swing Trader และ Position Trader ซึ่งแต่ละประเภทมีกลยุทธ์และเงื่อนไขการเทรดไม่เหมือนกัน ดังนี้

• Scalper
  เป็นเทรดเดอร์ที่เน้นทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาสั้นมาก มักเปิดและปิดสถานะภายในไม่กี่วินาทีถึงไม่กี่นาที โดยอาศัยจังหวะสั้น ๆ ที่ราคาขยับขึ้นลงในระดับจุดทศนิยมเล็ก ๆ (pips) Scalper ต้องใช้ความเร็วสูง มีสมาธิอย่างต่อเนื่อง และมักต้องเทรดหลายสิบถึงหลายร้อยครั้งต่อวันเพื่อสะสมผลกำไรเล็ก ๆ ให้รวมกันเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน

• Day Trader
  ในสายนี้คือเทรดเดอร์ที่เปิดและปิดสถานะภายในวันเดียว โดยไม่มีการถือครองข้ามคืน เพราะจะจับจังหวะเข้าเทรดตามแนวโน้มราคาที่เกิดขึ้นระหว่างวัน ด้วยการวิเคราะห์กราฟในช่วงสั้น เช่น 15 นาที หรือ 1 ชั่วโมง ซึ่งข้อดีของการเป็น Day Trader คือไม่ต้องเผชิญความเสี่ยงจากข่าวที่เกิดขึ้นช่วงกลางคืน แต่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา และตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

• Swing Trader
  สวิงเทรดเดอร์จะถือสถานะนานกว่า Day Trader โดยอาจถือไว้เป็นวันหรือเป็นสัปดาห์ เนื่องจากในกลุ่มนี้จะเน้นการหาจังหวะ “แกว่งตัว” ของราคาในช่วงกลาง ๆ โดยใช้การวิเคราะห์กราฟระยะกลาง เช่น กราฟราย 4 ชั่วโมง หรือกราฟรายวัน ข้อดีของ Swing Trading คือไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา และสามารถวิเคราะห์แบบมีระยะเพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนรายวัน

• Position Trader
  
  

• เทรดเดอร์ในกลุ่มนี้จะมีลักษณะใกล้เคียงกับนักลงทุนมากที่สุด เพราะถือสถานะเป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือน พวกเขามักใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) เป็นหลัก เช่น ตัวเลขเศรษฐกิจ ทิศทางของธนาคารกลาง หรือสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ และเสริมด้วยการดูแนวโน้มจากกราฟรายสัปดาห์หรืกราฟรายเดือน

Hybrid Trader: เมื่อเทรดเดอร์ คือ ทุกสไตล์รวมกัน

นอกจาก 4 ประเภทหลักในข้างต้นแล้ว ยังมีเทรดเดอร์บางคนที่ไม่ได้ยึดแค่สไตล์เดียว เรียกว่า Hybrid Trader หรือเทรดเดอร์แบบผสมผสาน อาจจะ Scalping ในช่วงตลาดผันผวนแรง แล้วสลับมาถือยาวแบบ Swing หรือ Position เมื่อแนวโน้มชัดเจน ซึ่งกลยุทธ์แบบ Hybrid ช่วยให้เทรดเดอร์ปรับตัวได้ตามสถานการณ์จริง ไม่ถูกล็อกด้วยสูตรตายตัว

ดังนั้น เทรดเดอร์ คือ คนที่ต้องรู้จักตัวเองก่อนเลือกสไตล์ เพราะไม่มีวิธีไหนถูกหรือผิด ใครจะเป็น Scalper, Day, Swing, Position หรือ Hybrid ก็ได้ ขอแค่สอดคล้องกับเวลาที่ให้ตลาดได้จริง ความเสี่ยงที่รับได้ และความถนัดในการวิเคราะห์ของแต่ละคน

5 เรื่องที่ต้องรู้ก่อนเป็นเทรดเดอร์

อย่างไรก็ตาม การเป็นเทรดเดอร์ไม่ใช่แค่มีเงินก็เริ่มได้ หากขาดความเข้าใจพื้นฐานและการเตรียมตัวที่ดีก็อาจขาดทุนจนต้องลางพอร์ตได้ ดังนั้นต่อไปนี้คือ 5 เรื่องสำคัญที่ควรรู้ก่อนเข้าสู่เส้นทางลุยตลาดฟอเร็กซ์

1. การจัดการความเสี่ยงสำคัญกว่ากำไร

เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จมักอยู่รอดในตลาดเพราะรู้จัก “ลดการขาดทุน” มากกว่าหวังกำไรอย่างเดียว ควรรู้จักตั้ง Stop Loss, จำกัดความเสี่ยงต่อการเทรดให้ไม่เกิน 1–2% ของพอร์ต และไม่ควรเทรดโดยไม่มีแผนการรองรับหากผิดทาง

2. ระบบเทรดต้องชัดเจนและทดสอบมาแล้ว

การมีระบบเทรดที่ดี หมายถึง การรู้ว่าจะเข้าเมื่อไร ออกเมื่อไร และจะจัดการความเสี่ยงอย่างไร ไม่ควรเทรดตามอารมณ์หรือกระแส ต้องมีแผนชัดเจน และผ่านการทดสอบย้อนหลัง (Backtest) หรือทดลองใช้ในบัญชีเดโม่แล้วว่ามีประสิทธิภาพ

3. ต้องเรียนรู้และปรับตัวตลอดเวลา

ตลาดการเงินเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กลยุทธ์ที่เคยใช้ได้ผลอาจไม่เวิร์กในอนาคต เทรดเดอร์ต้องเปิดรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ทั้งเรื่องเครื่องมือ วิเคราะห์เชิงเทคนิค ข่าวเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาด

4. อินดิเคเตอร์เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่คนตัดสินใจแทนเรา

อย่าใช้ Indicator มากเกินไป ควรรู้ว่าตัวไหนเหมาะกับสถานการณ์ เช่น RSI, MACD ใช้ดูโมเมนตัม, Moving Average ใช้ดูเทรนด์, Bollinger Bands ใช้ดูความผันผวน

5. ต้องอ่าน Price Action ให้เป็น

เทรดเดอร์ทุกคนทั้งหน้าใหม่และเก่า ควรเข้าใจแนวรับแนวต้าน (Support/Resistance), รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns), และพฤติกรรมราคา เช่น Breakout, Pullback, Fakeout เพราะการเป็นเทรดเดอร์ต้องอาศัยความเร็วในการยิงออเดอร์ซื้อขายและมีการวางแผนล่วงหน้าที่รัดกุมที่สุด

เทรดเดอร์ ต่างจากนักลงทุนอย่างไร?

หลายคนสงสัยว่า เทรดเดอร์ คือ อะไร และต่างจากนักลงทุนจริงไหม? สิ่งแรกที่เทรดเดอร์กับนักลงทุนมีเหมือนกันคือ เป้าหมายเดียวกัน คือการสร้างผลตอบแทนจากตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นตลาดฟอเร็กซ์ หุ้น คริปโตเคอร์เรนซี หรือสินค้าโภคภัณฑ์ แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสองกลุ่มนี้ต่างกันจริง ๆ คือวิธีคิดและวิธีทำกำไร

เทรดเดอร์ คือ คนที่มองหาโอกาสทำกำไรจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ในระยะสั้นถึงกลาง เช่น ซื้อขายภายในวัน ภายในสัปดาห์ หรือเดือน โดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก เช่น การอ่านกราฟราคา การใช้ Indicator และการสังเกตพฤติกรรมตลาด เทรดเดอร์ต้องทำงานกับข้อมูลเรียลไทม์ ต้องพร้อมตัดสินใจรวดเร็ว และควบคุมอารมณ์ท่ามกลางความกดดันได้ดี เพราะอารมณ์โลภ กลัว และลังเลเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ในทางกลับกัน นักลงทุน คือ คนที่ถือสินทรัพย์ระยะยาว หลายเดือนหรือเป็นปี โดยเน้นสร้างมูลค่าเพิ่มจากการเติบโตของกิจการหรือแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะยาว นักลงทุนจะพิจารณาปัจจัยพื้นฐาน เช่น ศักยภาพของบริษัท งบการเงิน ความสามารถแข่งขัน หรือภาพรวมเศรษฐกิจ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอทุกวันเหมือนเทรดเดอร์ และมีเวลาตัดสินใจมากกว่า จึงมักมีความเครียดทางอารมณ์น้อยกว่า แม้ต้องใช้ความอดทนรอผลตอบแทนมากกว่าก็ตาม

สรุปง่าย ๆ คือ เทรดเดอร์ คือ ผู้เล่นเกมสั้น เล่นรอบไว เสี่ยงสูงแต่โอกาสกำไรเร็ว ขณะที่นักลงทุน คือ ผู้เล่นเกมยาว ยอมรอ แลกกับความเสี่ยงที่คุมได้และเติบโตตามเวลา

โดยสรุปแล้ว เทรดเดอร์ คือ บุคคลที่ทำหน้าที่ซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นฟอเร็กซ์ หุ้น คริปโตเคอร์เรนซี หรือสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อสร้างกำไรจากความผันผวนของราคาที่เกิดขึ้นในระยะสั้นถึงระยะกลาง โดยเทรดเดอร์จะมีรูปแบบและกลยุทธ์แตกต่างกันไป เช่น Scalper ที่เน้นจังหวะสั้นมาก Day Trader ที่เทรดภายในวัน Swing Trader ที่ถือสถานะเป็นวันหรือสัปดาห์ และ Position Trader ที่ถือยาวหลายสัปดาห์ ซึ่งทุกสไตล์ของเทรดเดอร์ คือ ต้องอาศัยทั้งความรู้ทางเทคนิค ความเข้าใจจิตวิทยาตลาด การจัดการความเสี่ยงอย่างมีวินัย และการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้อยู่รอดในตลาดที่ผันผวนสูง

ในขณะที่ นักลงทุน คือ ผู้ที่เน้นถือครองสินทรัพย์ระยะยาวหลายเดือนถึงหลายปี โดยใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก ทั้งเรื่องศักยภาพของกิจการ ความแข็งแรงทางการเงิน อุตสาหกรรม และภาพรวมเศรษฐกิจ เพื่อสร้างผลตอบแทนสะสมตามระยะเวลา ทำให้ความเสี่ยงในระยะสั้นของนักลงทุนจะน้อยกว่าเทรดเดอร์ แต่ต้องแลกกับการรอผลตอบแทนที่ใช้เวลานานกว่าเช่นกัน สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเลือกเป็นเทรดเดอร์หรือเป็นนักลงทุน สิ่งสำคัญที่สุดคือการเรียนรู้ วางแผน และเลือกวิธีที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และความเสี่ยงที่ตนยอมรับได้

หากคุณสนใจจะเริ่มต้นเส้นทางการเป็นเทรดเดอร์ หรือต้องการค้นหาว่าสไตล์การเทรดแบบไหนเหมาะกับตัวเอง ลองศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ลงทุนด้วยความรู้ และฝึกฝนผ่านบัญชีทดลอง (EBC Copy Trade) ที่เปิดโอกาสให้เรียนรู้จากนักเทรดมืออาชีพได้โดยตรง นอกจากนี้ ท่านยังสามารถเข้าร่วมสัมมนาออนไลน์และศึกษาข้อมูลการเทรดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ebc.com/th/webinars อย่าลืมว่าการจัดการความเสี่ยงและวินัยคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในตลาดการเงิน เริ่มเรียนรู้วันนี้ เพื่อสร้างโอกาสและอนาคตทางการเงินที่มั่นคง