Indicator คืออะไร รู้จักเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค

2025-03-15

เครื่องมือชี้วัด หรือ Indicator คือเครื่องมือชี้วัดทางสถิติ ซึ่งถูกใช้ในทางวิเคราะห์เชิงเทคนิค เพื่อวิเคราะห์และคาดการณ์แนวโน้มราคา โดยคำนวณจากราคา ปริมาณการซื้อขาย ช่วงเวลา หรือปริมาณของสินทรัพย์ ซึ่ง Indicatior นั้นมีหลายตัวให้ใช้งาน ทุกคนสามารถออกแบบได้เองหามีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมสำหรับสร้าง Indicator เช่น Pine Script ใน TradingView ที่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับดูกราฟราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ แต่โดยทั่วไปแล้ว Indicator พื้นฐานที่มีให้ใช้ก็เพียงพอแล้ว


การใช้ Indicator ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนในตลาดการเงินนิยมใช้เพื่อทำให้การตัดสินใจซื้อขายมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยหลักๆแล้ว Indicator คือเครื่องมือที่จะช่วยในการคาดการณ์ทิศทางราคาและช่วยระบุจุดเข้าซื้อหรือจุดออกขาย ซึ่งถือเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ทุกคนควรรู้จักและเรียนรู้เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ เพื่อช่วยในการตัดสินใจในกระบวนการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

indicator - EBC

Indicator สำคัญกับนักลงทุนอย่างไร?

แม้ว่าเราจะไม่สามารถรู้อนาคตของกราฟราคาได้แน่นอน แต่เราสามารถ"คาดการณ์"ทิศทางของราคาได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Indicator ซึ่งเป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยไม่ได้เป็นการเดาหรือคิดเอาเองตามใจชอบ แต่เป็นการวิเคราะห์จากข้อมูลทางเทคนิคร่วมกับปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์และสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อราคา


การคาดการณ์ช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะการระบุจุดสำคัญ เช่น แนวรับ-แนวต้าน หรือการเปลี่ยนแนวโน้มของราคา เมื่อรู้จุดเหล่านี้แล้ว เราสามารถกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) หรือจุดเข้าซื้อในระดับราคาที่น่าสนใจได้อย่างแม่นยำ


ตัวอย่างการใช้งาน Indicator จริง

1.การช้อนซื้อเมื่อราคาอยู่ในแนวรับ สมมติว่าเรามองเห็นแนวรับ-แนวต้านบนกราฟ และราคากำลังอยู่ในแนวรับ เราสามารถตัดสินใจซื้อในจุดนั้น พร้อมกับตั้งจุดตัดขาดทุนไว้ใต้แนวรับเพื่อป้องกันความเสี่ยงหากราคาร่วงลงอย่างรุนแรง แต่ถ้าราคากลับขึ้นมา เราก็สามารถรอเก็บกำไรได้ตามแผน


2.การเทรดระยะสั้น (Scalping) การเทรดระยะสั้นมีความเสี่ยงสูง เพราะราคาอาจผันผวนอย่างรวดเร็ว ทำให้จับจังหวะยาก แต่ถ้าใช้ Indicator ช่วย เช่น การระบุแนวรับ-แนวต้าน เราสามารถกำหนดจุดซื้อ-ขายได้แม่นยำขึ้น ลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทำกำไรได้


Indicator เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนวิเคราะห์และคาดการณ์ทิศทางราคาได้อย่างมีหลักการ ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับการวางแผนการลงทุนที่ดี เช่น การตั้งจุดตัดขาดทุนหรือการระบุจุดซื้อ-ขายที่เหมาะสม


Indicator คือเครื่องมือชี้วัดที่ทำงานอย่างไร

Indicator ถูกใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มราคาของสินทรัพย์ต่างๆ ด้วยการคำนวณจากราคาสินทรัพย์ในอดีตหรือปัจจุบัน บางครั้งยังคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น ปริมาณการซื้อขายและช่วงเวลา ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนสามารถเห็นภาพรวมของตลาดได้ดีขึ้นและคาดการณ์แนวโน้มราคาของสินทรัพย์ในอนาคต


โดยพื้นฐานแล้ว Indicator มีหลายประเภท เช่น Moving Average, Relative Strength Index (RSI), MACD และอื่นๆ ซึ่งแต่ละตัวมีวิธีการทำงานและการคำนวณที่แตกต่างกันไป บางตัวใช้ข้อมูลราคาปิดในการคำนวณ เช่น Moving Average ส่วนบางตัวใช้ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเวลาสั้นๆ เช่น RSI ที่ช่วยบ่งบอกถึงสภาวะ Overbought และ Oversold


ประโยชน์ของการใช้ Indicator

1.การหาจุดซื้อและจุดขาย: การใช้ Indicator ช่วยให้เราระบุจุดที่เหมาะสมในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ได้ง่ายขึ้น เช่น หากราคากำลังอยู่ในแนวรับ และ Indicator ชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มราคาเริ่มดีขึ้น ก็สามารถตัดสินใจซื้อได้

2.ช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด: Indicator ทำให้การอ่านกราฟราคาเป็นเรื่องง่ายขึ้น โดยสามารถช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ เช่น ตลาดกำลังเป็นขาขึ้นหรือขาลง เพื่อใช้ในการวางแผนการลงทุน

3.ลดความเสี่ยงในการลงทุน


การใช้ Indicator ช่วยให้สามารถบริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น โดยสามารถตั้งจุดตัดขาดทุนหรือตั้งจุดที่ควรออกจากการลงทุนได้ตามที่คาดการณ์ไว้

Indicator ที่นิยมถูกพูดถึงเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาในตลาดฟอเร็กซ์ ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถประเมินทิศทางและความแข็งแกร่งของแนวโน้มได้อย่างมีประสิทธิภาพ  


1.อินดิเคเตอร์ EMA (Exponential Moving Average) EMA คือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียลที่ให้ความสำคัญกับราคาล่าสุดมากกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบธรรมดา (SMA) โดยการคำนวณจะให้ความสำคัญกับราคาในช่วงเวลาสั้น ๆ มากขึ้น ช่วยให้นักเทรดสามารถมองเห็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นล่าสุดได้ดียิ่งขึ้น


2.อินดิเคเตอร์ Stochastic Oscillator เป็นอินดิเคเตอร์ที่ช่วยในการวิเคราะห์ภาวะ Overbought (ซื้อมากเกินไป) และ Oversold (ขายมากเกินไป) โดยที่ค่าจะวิ่งอยู่ในช่วง 0-100 เมื่อมีค่าสูงกว่าระดับ 80 แสดงถึงภาวะ Overbought และต่ำกว่าระดับ 20 แสดงถึงภาวะ Oversold เป็นตัวบ่งชี้ว่าราคาน่าจะกลับตัว


3.อินดิเคเตอร์ Fibonacci Retracement ใช้หลักการจากลำดับตัวเลขของ Fibonacci เพื่อคาดการณ์ระดับราคาที่อาจมีการย้อนกลับ (retracement) หลังจากการเคลื่อนที่ของราคาในแนวโน้มหลัก โดยจะใช้ระดับ 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8% และ 78.6% ในการหาแนวรับและแนวต้านที่อาจเกิดขึ้น


4.อินดิเคเตอร์ MACD (Moving Average Convergence Divergence) เป็นอินดิเคเตอร์ที่ผสมผสานระหว่างการใช้ Moving Averages และ Oscillators โดยช่วยในการระบุแนวโน้มราคาและจุดกลับตัว ผ่านการเปรียบเทียบระหว่างเส้น MACD (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้น) และเส้น Signal (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว) การตัดกันของทั้งสองเส้นมักจะบ่งบอกถึงโอกาสในการเปลี่ยนทิศทางของราคา


ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการวิเคราะห์กราฟราคาและสามารถช่วยนักเทรดในการตัดสินใจในการเปิดหรือปิดออร์เดอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการเลือกใช้ Indicator ที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนไม่ได้มีคำตอบเดียว เนื่องจากแต่ละตัวมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งานของแต่ละคน รวมถึงความชำนาญและประเภทของการลงทุนที่ทำอยู่


นอกจากนี้ นักลงทุนนั้นยังสามารถใช้ Indicator หลายตัวร่วมกันเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจ เช่น การใช้ Moving Average ร่วมกับ RSI หรือ MACD เพื่อดูภาพรวมของแนวโน้มและความแข็งแรงของราคา


ข้อควรระวังในการใช้ Indicator

แม้ว่าการใช้ Indicator จะช่วยในการคาดการณ์ทิศทางของราคาได้ แต่ก็ไม่สามารถรับประกันผลลัพธ์ได้ 100% เนื่องจาก Indicator เป็นการคำนวณจากข้อมูลในอดีต จึงอาจมีข้อผิดพลาดในการทำนายอนาคต นอกจากนี้ นักลงทุนยังควรใช้ Indicator ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจ หรือข่าวสารต่างๆ เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างรอบคอบ


สรุปแล้ว Indicator คือ เครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยนักลงทุนวิเคราะห์และคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในตลาดการเงิน โดยไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายหุ้น, Forex หรือสินค้าโภคภัณฑ์ การใช้ Indicator จะช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดความเสี่ยงในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักลงทุนนั้นควรเลือกใช้ Indicator ที่เหมาะสมและเข้าใจวิธีการทำงานของแต่ละตัว เพื่อให้การตัดสินใจลงทุนเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย


คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
เส้น EMA 200 คืออะไร? ทำไมนักลงทุนต้องรู้จักเครื่องมือนี้
สัญญาณเทรด 10 อันดับแรก ที่คุณควรทราบในปี 2025
เจาะลึกอินดิเคเตอร์แนวรับแนวต้านสำหรับมือใหม่
วิธีการซื้อขาย DiNapoli และการประยุกต์ใช้
Leading Indicator คืออะไร? รู้จัก 10 ตัวเด่นปี 2025