การลงทุนใน ETF ต่างประเทศช่วยสร้างความหลากหลายและกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุน โดยเข้าถึงตลาดทั่วโลกและอุตสาหกรรมที่หลากหลาย
การลงทุนในกองทุนรวมที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ระหว่างประเทศ (ETF) หรือที่เรียกว่า ETF ต่างประเทศเป็นวิธีที่ดีในการเข้าถึงตลาดโลกและสร้างความหลากหลายให้กับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุน นอกเหนือจากการลงทุนในหุ้นในประเทศ
ETF เหล่านี้ครอบคลุมการลงทุนในหลากหลายภูมิภาคและอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยให้สามารถกระจายความเสี่ยงและสร้างการลงทุนที่สมดุลได้ง่ายขึ้น จนถึงปี 2025 ETF ต่างประเทศหลายตัวได้แสดงผลการดำเนินงานที่น่าประทับใจ ซึ่งทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุน
ต่อไปนี้คือ 10 ETF ต่างประเทศที่ดีที่สุด พร้อมทั้งแนะนำคุณสมบัติสำคัญและผลการดำเนินงานของแต่ละตัว
10 ETF ต่างประเทศยอดนิยมที่ควรลงทุนในปี 2025 และอนาคต
1. Vanguard Total International Stock ETF (VXUS)
VXUS เป็นกองทุนที่ให้การเข้าถึงหุ้นต่างประเทศอย่างครอบคลุม โดยไม่รวมหุ้นสหรัฐฯ และเน้นการลงทุนในทั้งตลาดที่พัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ ในปี 2025 กองทุนนี้น่าสนใจมากเพราะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลกและการหมุนเวียนของตลาดในแต่ละภูมิภาค ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ พบกับการประเมินมูลค่าสูงและการเติบโตของกำไรที่ชะลอตัว ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในเอเชียและยุโรป กลับดูน่าสนใจขึ้นเนื่องจากการประเมินมูลค่าที่ต่ำกว่าและการปรับตัวที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจ
VXUS ติดตามดัชนี FTSE Global All Cap ex-US ซึ่งครอบคลุมทั้งตลาดที่พัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ ด้วยการถือหุ้นมากกว่า 8,500 ตัวทำให้สามารถกระจายการลงทุนได้อย่างกว้างขวาง
จนถึงต้นปี 2025 VXUS ทำผลตอบแทนจากต้นปีได้ถึง 9.2% ซึ่งดีกว่ากองทุน SPDR S&P 500 ETF Trust (SPY) ที่ลดลง 3.2% ในช่วงเดียวกัน
2. iShares Core MSCI EAFE ETF (IEFA)
IEFA มุ่งเน้นการลงทุนในตลาดที่พัฒนาแล้วในยุโรป ออสเตรเลีย และเอเชียตะวันออก โดยไม่รวมทวีปอเมริกาเหนือ กองทุนนี้มีสัดส่วนการลงทุนสูงในประเทศสำคัญ ๆ เช่น ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส ซึ่งครอบคลุมบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการปกครองที่มั่นคง ตลาดทุนที่พัฒนาแล้ว และการเติบโตของการส่งออก
เมื่อดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัว หุ้นต่างประเทศในตลาดที่พัฒนาแล้วจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากขึ้นสำหรับนักลงทุนชาวสหรัฐฯ เนื่องจากผลกระทบที่ดีจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน
อีกทั้ง IEFA ยังมีอัตราค่าธรรมเนียมการจัดการที่ต่ำเพียง 0.07% ทำให้เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการเข้าถึงหุ้นของบริษัทใหญ่ระดับโลกในต้นทุนที่คุ้มค่า
3. iShares Core MSCI Total International Stock ETF (IXUS)
IXUS ให้การเข้าถึงหุ้นต่างประเทศคล้ายกับ VXUS แต่ติดตามดัชนี เช่น MSCI ACWI ex USA ซึ่งเน้นการลงทุนในตลาดที่พัฒนาแล้วมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีการลงทุนในภูมิภาคเอเชียและละตินอเมริกาที่กำลังเติบโต
ในปี 2025 เมื่อดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มอ่อนค่าหลังจากการแข็งค่ามานาน กองทุนนี้อาจได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงที่ดีในอัตราแลกเปลี่ยน
IXUS ให้การเข้าถึงหุ้นต่างประเทศโดยไม่รวมหุ้นสหรัฐฯ โดยติดตามดัชนี MSCI ACWI ex USA ซึ่งครอบคลุมหุ้นต่างประเทศกว่า 4,400 ตัว โดยมีการกระจายการลงทุนในภูมิภาคยุโรป 41.6%, แปซิฟิก 26.5%, และตลาดเกิดใหม่ 25.2% นอกจากนี้ กองทุนนี้ยังมีอัตราค่าธรรมเนียมการจัดการที่ต่ำเพียง 0.07% และให้ผลตอบแทนจากการจ่ายปันผล 2.95%
4. Vanguard FTSE All-World ex-US ETF (VEU)
VEU เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นต่างประเทศแบบกระจายความเสี่ยงโดยไม่ต้องเลือกกองทุนรายภูมิภาคด้วยตัวเอง จุดเด่นของกองทุนนี้คือการเน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางจากประเทศทั่วโลก (ยกเว้นสหรัฐฯ) ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่มองหาความมั่นคงและการเติบโตในระยะยาว มากกว่าการเสี่ยงเพื่อผลตอบแทนที่หวือหวาในระยะสั้น
กองทุน VEU ติดตามดัชนี FTSE All-World ex-U.S. และมีการถือครองหุ้นประมาณ 3,842 ตัวโดยกระจายการลงทุนในภูมิภาคต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ลักษณะใกล้เคียงกับ VXUS ทั้งยังมีค่าธรรมเนียมบริหารเพียง 0.07% และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 3.30%
5. iShares MSCI Poland ETF (EPOL)
โปแลนด์ถือเป็นหนึ่งในประเทศดาวรุ่งของยุโรปตะวันออก ด้วยเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วกว่าค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรป แรงหนุนหลักมาจากการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่ง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ต่อเนื่อง และการที่บริษัทข้ามชาติเริ่มย้ายฐานการผลิตออกจากเอเชีย ส่งผลให้ภาคการผลิตของโปแลนด์กลับมาคึกคักอีกครั้ง
กองทุน EPOL เปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึงหุ้นของบริษัทชั้นนำในโปแลนด์ โดยอ้างอิงตามดัชนี MSCI Poland IMI 25/50 สะท้อนแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจในประเทศ ณ ต้นปี 2025 กองทุนนี้ทำผลตอบแทนไปแล้วถึง 39% ตั้งแต่ต้นปีนับว่าโดดเด่นเมื่อเทียบกับกองทุนที่เน้นลงทุนเฉพาะประเทศอื่น ๆ
6. DFA Dimensional International Small Cap Value ETF (DISVX)
หุ้นขนาดเล็กที่มีมูลค่าต่ำ (Small-cap value) มักถูกมองข้ามในพอร์ตการลงทุนระดับโลก แต่ในความเป็นจริงกลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความหลากหลายให้กับพอร์ต โดยเฉพาะในปี 2025 DISVX โดดเด่นจากการเน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นขนาดเล็กของต่างประเทศ ซึ่งมักมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงต้นของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก
บริษัทที่อยู่ในกลุ่มนี้มักเน้นการดำเนินงานภายในประเทศ และได้รับประโยชน์โดยตรงจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมในประเทศนั้น ๆ อีกทั้งหุ้นกลุ่มนี้ยังมีระดับการประเมินมูลค่าที่ต่ำกว่าหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มเติบโต ทำให้ DISVX เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหากลยุทธ์แบบสวนกระแส และต้องการโอกาสสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยตลาดในระยะยาว
7. First Trust Germany AlphaDEX Fund (FGM)
เยอรมนีถือเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจยุโรป ด้วยความเป็นผู้นำในด้านอุตสาหกรรม การผลิต วิศวกรรม และเทคโนโลยีสีเขียว กองทุน FGM เลือกใช้กลยุทธ์ Smart Beta ผ่านกระบวนการคัดเลือกหุ้นของ AlphaDEX ซึ่งให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานด้านการเติบโตและมูลค่า ทำให้หลีกเลี่ยงข้อจำกัดของดัชนีที่ให้น้ำหนักตามมูลค่าตลาด (Market Cap Weight)
เมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวในปี 2025 โดยเฉพาะตลาดส่งออกของเยอรมนีที่กลับมาคึกคัก และการลงทุนภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น กองทุน FGM จึงได้รับประโยชน์โดยตรงจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่เป็นบวก ขณะเดียวกัน ตัวเลขดัชนี PMI ที่ปรับตัวดีขึ้น และความต้องการสินค้าประเภทเครื่องจักรและรถยนต์ของเยอรมนีที่สูงขึ้น ก็ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของกองทุนนี้ในกลุ่ม Smart Beta
ณ ต้นปี 2025 FGM ทำผลตอบแทนได้แล้วถึง 29.6% นับตั้งแต่ต้นปี สะท้อนศักยภาพของตลาดหุ้นเยอรมนีและความสามารถของกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นคุณภาพของกองทุนนี้ได้อย่างชัดเจน
8. Select STOXX Europe Aerospace&Defense ETF (EUAD)
ในปี 2025 สถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียดยังคงดำเนินต่อไป ทำให้หลายประเทศในยุโรปเร่งเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม โดยเฉพาะกลุ่มประเทศสมาชิก NATO และสหภาพยุโรปที่ต้องรับภาระความมั่นคงร่วมกันมากขึ้น ส่งผลให้การใช้จ่ายในด้านนี้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
กองทุน EUAD เข้าลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอวกาศและกลาโหมของยุโรป ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์โดยตรงจากคำสั่งซื้อของภาครัฐ การปรับปรุงและพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ และคำสั่งส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ทำให้ราคาหุ้นในกองทุนขยับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และทำผลงานได้เหนือกว่าตลาดหุ้นยุโรปโดยรวม
ณ ช่วงต้นปี 2025 กองทุน EUAD ทำผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีได้ถึง 46% สะท้อนความร้อนแรงของธีมการลงทุนในภาคกลาโหมที่กำลังเติบโต สำหรับผู้ที่มองหาโอกาสจากแนวโน้มการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านความมั่นคงและอวกาศ กองทุนนี้ถือเป็นหนึ่งใน ETF ต่างประเทศที่น่าจับตามองที่สุดในปีนี้
9. Global X Defense Tech ETF (SHLD)
ปัจจุบัน การลงทุนในเทคโนโลยีด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคงทางไซเบอร์ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเฉพาะกลุ่มอีกต่อไป แต่เป็นประเด็นสำคัญที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลก กองทุน SHLD จึงตอบโจทย์ได้ดีในการเข้าลงทุนในบริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในภาคการทหาร เช่น โดรน ระบบเฝ้าระวังด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอาวุธนำวิถี
ประเทศต่าง ๆ ในยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลางต่างเพิ่มงบประมาณด้านการทหารอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับความเสี่ยงในอนาคตและสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน โดยในปี 2025 กองทุน SHLD สามารถทำผลตอบแทนได้ถึง 29% ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้และความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุน
สำหรับนักลงทุนที่มองหาทางเลือกในการลงทุนระยะยาวในด้านกลาโหมและเทคโนโลยีป้องกันประเทศ กองทุน SHLD ถือเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและสามารถกระจายความเสี่ยงได้ดี
10. Franklin FTSE Japan ETF (FLJP)
ในปี 2025 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้ขยายตัวไปสู่ระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ ซึ่งได้รับแรงผลักดันจากการปฏิรูปในบริษัทต่าง ๆ ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และการเคลื่อนไหวของสกุลเงินที่ช่วยส่งเสริมการเติบโต ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ทำให้การส่งออกของญี่ปุ่นมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทญี่ปุ่นยังเริ่มนำกลยุทธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นมากขึ้น เช่น การซื้อหุ้นคืนและการจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้น กองทุน FLJP จึงสามารถใช้ประโยชน์จากแนวโน้มเหล่านี้ เพื่อให้นักลงทุนมีโอกาสเข้าถึงเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นนวัตกรรมและการส่งออก
กองทุน FLJP ลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นโดยตรง และติดตามดัชนี FTSE Japan RIC Capped Index ซึ่งสะท้อนถึงเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่โดดเด่นในด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก กองทุนนี้มีค่าธรรมเนียมเพียง 0.09% ซึ่งทำให้มันเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ทำไมการกระจายการลงทุนทั่วโลกในปี 2025 จึงสำคัญ?
ในเศรษฐกิจโลกที่เชื่อมโยงกันในปัจจุบัน การพึ่งพาหุ้นภายในประเทศเพียงอย่างเดียวทำให้นักลงทุนเผชิญกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับประเทศนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคามจากเงินเฟ้อที่กำลังจะเกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย หรือความไม่มั่นคงทางการเมืองในประเทศ การกระจายการลงทุนในภูมิภาคต่าง ๆ ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนเหล่านี้
ETF ต่างประเทศช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงไปยังเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และสกุลเงินที่หลากหลาย ดังนั้น ความจำเป็นในการกระจายการลงทุนจึงยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น รูปแบบการเติบโตที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค และการเติบโตเฉพาะกลุ่มในบางภาคส่วนของโลก
สรุป
การนำ ETF ต่างประเทศเข้ามาในพอร์ตการลงทุนถือเป็นทางเลือกที่ดีในการกระจายความเสี่ยงและสร้างโอกาสให้กับนักลงทุนในการเข้าถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจจากทั่วโลก
ทั้ง 10 กองทุน ETF ต่างประเทศที่ได้แนะนำในบทความนี้มีทางเลือกที่หลากหลาย ซึ่งเหมาะสมกับนักลงทุนที่มีระดับความเสี่ยงและกลยุทธ์การลงทุนที่แตกต่างกัน ดังนั้น ก่อนการตัดสินใจลงทุน นักลงทุนควรทำการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและคำนึงถึงเป้าหมายทางการเงินของตนเองให้ชัดเจน
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
ติดตามราคาทองคำและเงินในปัจจุบัน สำรวจแนวโน้ม 10 ปี ปัจจัยสำคัญ อัตราส่วนราคา และเรียนรู้ว่าเวลาใดอาจเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการซื้อหรือลงทุน
2025-06-13เรียนรู้ว่าญี่ปุ่นใช้สกุลเงินอะไร บทบาทของญี่ปุ่นในฐานะสกุลเงินอย่างเป็นทางการ และเหตุใดจึงเป็นสกุลเงินที่ผู้ค้าสกุลเงินทั่วโลกชื่นชอบ
2025-06-13ค้นพบว่า SWPPX ของ Schwab มอบการเข้าถึง S&P 500 ต้นทุนต่ำได้อย่างไร พร้อมมอบประสิทธิภาพที่มั่นคงและความแข็งแกร่งของพอร์ตโฟลิโอในระยะยาว
2025-06-13