2025-09-17
Bid Ask คือ ตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนสภาพคล่องและต้นทุนการเทรด ทำให้ทั้ง Bid และ Ask มีความสำคัญในตลาดการลงทึนเป็นอย่างมาก เพราะถ้านักลงทุนไม่ใส่มัน อาจพลาดโอกาสและเสียเงินโดยไม่รู้ตัวได้ บทความนี้จะอธิบาย Bid Ask คืออะไร เทคนิตใช้ Bid และ Ask วิเคราะห์แรงซื้อแรงขาย พร้อมข้อควรระวังที่มือโปรใช้เพื่อจัดการความเสี่ยง
Bid Ask คือ กลไกสำคัญที่สะท้อนราคาซื้อและราคาขายของสินทรัพย์ในตลาด เริ่มต้นที่ Bid คือราคาที่ผู้ซื้อพร้อมจ่ายเพื่อซื้อสินทรัพย์หนึ่ง ๆ หากนักลงทุนต้องการซื้อหุ้นหรือคู่เงินในตลาด ราคาที่แสดงในช่อง Bid คือราคาที่คุณจะต้องจ่ายหากจับคู่กับผู้ขายทันที Bid สะท้อนความต้องการซื้อและแรงกดดันของผู้ซื้อในตลาด
ขณะที่ Ask คือราคาที่ผู้ขายพร้อมรับเพื่อขายสินทรัพย์นั้น ๆ ในแพลตฟอร์มเทรด ราคาที่แสดงในช่อง Ask คือราคาที่ผู้ขายต้องการขาย หากนักลงทุนต้องการขายสินทรัพย์ ราคานี้จะเป็นราคาที่คุณจะได้รับ
ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการซื้อหุ้น A ที่ราคา 100 บาท ผู้ซื้อคนอื่นอาจเสนอราคาต่ำกว่า 100 บาท ในขณะที่ผู้ขายอาจรอราคาสูงกว่า 101 บาท ซึ่งค่าความต่างระหว่าง Bid และ Ask ตรงนี้ เราจะเรียกว่าค่า Spread
โดยค่า Spread จะเป็นตัวชี้วัดต้นทุนที่แท้จริงของการซื้อขาย เพราะถ้า Spread แคบ การเทรดจะมีต้นทุนต่ำและใกล้เคียงกับราคาตลาดจริง แต่หาก Spread กว้าง เช่น ในหุ้นขนาดเล็กหรือสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำนั่นเอง
การนำข้อมูล Bid Ask มาใช้วิเคราะห์แรงซื้อแรงขายสามารถยกระดับการเทรดนั้น ต้องมีการใช้เทคนิคที่นำราคาและปริมาณคำสั่งซื้อขายมาคิดวเิเคราะห์ร่วมกัน เพื่อประเมินสภาพคล่องและทิศทางราคาของสินทรัพย์ เพราะการติดตาม Bid, Ask และ Spread อย่างเป็นระบบช่วยให้สามารถคาดการณ์แรงซื้อแรงขายและความผันผวนในตลาดได้
การเปรียบเทียบปริมาณคำสั่งซื้อ (Bid Size) กับคำสั่งขาย (Ask Size) หรือที่เรียกว่า Imbalance เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักเทรดมืออาชีพ หาก Bid Size สูงกว่า Ask Size อย่างต่อเนื่อง หมายความว่ามีแรงซื้อเข้มแข็ง ราคามีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างช้า ๆ หรือรวดเร็วขึ้นตามแรงซื้อ ในทางกลับกัน หาก Ask Size สูงกว่ามาก แสดงว่าตลาดมีแรงขายสูง นักลงทุนสามารถใช้สัญญาณนี้เพื่อวางกลยุทธ์ซื้อขายและคาดการณ์แนวโน้มราคาล่วงหน้า
Spread หรือความแตกต่างระหว่าง Bid และ Ask เป็นอีกตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกต้นทุนจริงและสภาพคล่องของสินทรัพย์ หาก Spread แคบพร้อมกับ Bid Size สูง แสดงว่าสินทรัพย์นั้นมีสภาพคล่องดีและแรงซื้อเข้มแข็ง นักลงทุนสามารถเข้าออกตลาดด้วยต้นทุนต่ำและมีโอกาสทำกำไรสูง แต่หาก Spread ขยายตัวพร้อม Ask Size สูง แสดงว่าตลาดมีแรงขายมาก และราคามีแนวโน้มผันผวน เทคนิคนี้ช่วยให้วางคำสั่งซื้อขายได้รัดกุมและลดความเสี่ยงจากความผันผวน
การเฝ้าสังเกตราคา Bid และ Ask ที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วสามารถบ่งบอกแรงซื้อแรงขายฉับพลันในตลาด หาก Bid เพิ่มขึ้นเร็ว แต่ Ask ไม่ขยับตาม แสดงว่าผู้ซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคามีโอกาสขึ้นสูง เทคนิคนี้ช่วยให้จับจังหวะการเข้าออกตลาดได้ทันเวลาและลดความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคาแบบเฉียบพลัน
การใช้ปริมาณการซื้อขายร่วมกับ Bid-Ask Imbalance ช่วยให้นักลงทุนเห็นความแข็งแรงของตลาดชัดเจนยิ่งขึ้น หาก Volume สูงพร้อม Bid Size สูง แสดงว่าแรงซื้อมีความเข้มแข็งมาก ราคามีโอกาสขึ้นต่อเนื่อง แต่ถ้าVolume สูงพร้อม Ask Size สูง แปลว่ามีแรงขายมากและราคาสามารถปรับตัวลดได้ การรวมข้อมูลทั้งสองอย่างช่วยให้วิเคราะห์ตลาดทั้งเชิงปริมาณและเชิงราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้ Bid Ask คือกลไกสำคัญที่ช่วยให้ตลาดทำงานราบรื่นก็จริง แต่ระบบดังกล่าวก็มีความเสี่ยงหลายอย่างที่สามารถทำให้แผลหรือกลยุทธ์การลงทุนของเราไม่เป็นไปตามที่วางเอาไว้ได้ ต่อไปนี้จึงเป็นข้อควรระวังเกี่ยวกับ Bid Ask ที่คุณควรรู้ติดตัวไว้
Spread กว้าง = ต้นทุนสูง
หากตลาดมีสภาพคล่องต่ำหรือช่วงเวลาที่ผันผวน Spread จะกว้างขึ้น การซื้อขายสินทรัพย์ในช่วงนี้อาจต้องจ่ายราคาสูงกว่าหรือขายต่ำกว่าที่คาด ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นและผลตอบแทนลดลง นักลงทุนควรเลือกจังหวะที่เหมาะสมเพื่อลดต้นทุน
ความล่าช้าของราคา (Price Lag)
ในแพลตฟอร์มเทรดออนไลน์ Bid และ Ask อาจไม่อัปเดตทันทีเมื่อมีคำสั่งจำนวนมาก การไม่สังเกตความล่าช้านี้อาจทำให้คำสั่งซื้อหรือขายถูกจับคู่ในราคาที่ไม่เหมาะสม นักลงทุนควรตรวจสอบราคาซื้อขายก่อนวางคำสั่งเสมอ
ความผันผวนสูงในช่วงข่าวสำคัญ
ข่าวเศรษฐกิจ การประกาศตัวเลขสำคัญ หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินสามารถทำให้ Bid และ Ask ปรับตัวสูงหรือต่ำทันที Spread ขยายตัวอย่างรวดเร็ว การติดตามข่าวสารพร้อมกับการสังเกต Bid-Ask จะช่วยให้ตัดสินใจซื้อขายได้รัดกุม
คำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่ (Large Order Impact)
คำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่สามารถทำให้ Bid หรือ Ask ปรับตัวทันที ส่งผลต่อราคาตลาดและ Spread นักลงทุนต้องระวังการวางคำสั่งใหญ่ในช่วงสภาพคล่องต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงราคาที่ไม่คุ้มค่า
หลีกเลี่ยงการตีความ Bid-Ask เพียงอย่างเดียว
แม้ Bid และ Ask เป็นตัวชี้วัดสำคัญ แต่ไม่ควรใช้เพียงอย่างเดียว นักลงทุนควรรวมข้อมูล Volume และเทคนิควิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อประเมินสภาพตลาดอย่างรอบด้าน
A: Bid คือราคาที่ผู้ซื้อพร้อมจ่าย Ask คือราคาที่ผู้ขายพร้อมรับ ส่วนความแตกต่างระหว่างสองราคานี้เรียกว่า Spread ใช้บ่งบอกสภาพคล่องและต้นทุนในการเทรด
A: Spread บ่งบอกต้นทุนในการเทรด หาก Spread กว้าง แปลว่าต้นทุนสูง นักลงทุนควรเลือกเวลาซื้อขายในช่วงสภาพคล่องสูงเพื่อลดต้นทุน
A: จำเป็น เพราะ bid ask แสดงราคาที่แท้จริงของสินทรัพย์ การเข้าใจ bid ask ช่วยให้วางแผนการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Bid Ask คือ กลไกราคาที่สะท้อนความจริงของการซื้อขายในตลาดการเงิน โดย Bid คือราคาที่ผู้ซื้อต้องการซื้อ ส่วน Ask คือราคาที่ผู้ขายพร้อมจะขาย ความแตกต่างระหว่างสองราคานี้ หรือที่เรียกว่า สเปรด (Spread) เป็นต้นทุนแฝงที่นักเทรดทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยังเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสภาพคล่องที่สำคัญของตลาด
หากตลาดมีสภาพคล่องสูง เช่น คู่เงินหลักใน Forex หรือหุ้นบลูชิพในตลาดใหญ่ สเปรดมักจะแคบ ทำให้ต้นทุนการซื้อขายต่ำและการเข้าซื้อขายรวดเร็ว ตรงกันข้าม หากเป็นสินทรัพย์ที่มีการซื้อขายน้อยหรืออยู่ในช่วงผันผวนสูง สเปรดจะกว้างขึ้น ส่งผลให้การเข้าซื้อขายมีความเสี่ยงและต้นทุนสูงกว่าปกติ ซึ่งนักลงทุนต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ
ดังนั้น การเข้าใจ Bid Ask ไม่ใช่แค่การรู้ว่าราคาไหนคือซื้อหรือขาย แต่เป็นการตีความสัญญาณของตลาด เพื่ออ่านแรงซื้อแรงขาย ตัดสินใจเข้าหรือออกอย่างมีเหตุผล และเลือกช่วงเวลาที่ต้นทุนเหมาะสมที่สุด สำหรับนักลงทุนมือใหม่ นี่คือพื้นฐานที่ต้องเรียนรู้ ส่วนสำหรับนักลงทุนมืออาชีพ การใช้ Bid Ask วิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลอื่น ๆ คือกุญแจสำคัญในการสร้างกลยุทธ์ที่เหนือกว่าในตลาดการเงิน
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ