จับตาราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปี 2025: ปัจจัยและผลกระทบ

ในปี 2025 ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะได้รับผลกระทบจากหลากหลายปัจจัยที่สำคัญ ซึ่งจะมีทั้งแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกและนโยบายการค้าใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเปลี่ยนแปลงในทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายประเภท เช่น โลหะอุตสาหกรรม น้ำมันดิบ และแร่เหล็ก

หนึ่งในปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในปี 2025 คือการเปลี่ยนแปลงฝ่ายบริหารในรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะมีผลต่อการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศจีน โดยเฉพาะในส่วนของโลหะอุตสาหกรรม เช่น ทองแดง ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจจะนำไปสู่ความไม่แน่นอนในการค้าที่เกี่ยวข้องกับโลหะสำคัญเหล่านี้

ราคาน้ำมันดิบและก๊าซในปี 2025

อีกหนึ่งสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีความสำคัญคือ น้ำมันดิบ ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจของประเทศ OPEC+ ที่จะเลื่อนการเพิ่มปริมาณการผลิตไปจนถึงเดือนเมษายน 2025 การตัดสินใจนี้จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะอุปทานล้นในตลาดน้ำมัน และช่วยเสริมเสถียรภาพให้กับราคาน้ำมันในปี 2025 โดยการคาดการณ์ของหน่วยงานต่างๆ เช่น EIA (Energy Information Administration) ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบ Brent ในปี 2025 จะเฉลี่ยที่ 74 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และจะลดลงอีกในปี 2026 สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของการผลิตน้ำมันทั่วโลกที่สูงกว่าความต้องการน้ำมันในตลาด

ในปีนี้ อัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติคาดว่าจะขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากที่เติบโตอย่างจำกัดในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากโครงการในอเมริกาเหนือ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ชี้ว่า ผลกระทบต่อราคาจะเริ่มปรากฏอย่างชัดเจนในปี 2026 ขณะที่ตลาดก๊าซในสหรัฐฯ ยังคงตึงตัวและคาดว่าจะเป็นเช่นนั้นต่อไป อันเนื่องมาจากความต้องการในภาคอุตสาหกรรม

S&P Global คาดการณ์ว่า ราคาก๊าซที่ Henry Hub ซึ่งเป็นเกณฑ์อ้างอิงของตลาดฟิวเจอร์สก๊าซธรรมชาติ จะเฉลี่ยสูงกว่า 4 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหนึ่งล้านบีทียูในปี 2025 ขณะที่ ING คาดการณ์ไว้ที่ 3.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยสองปีที่ผ่านมา (3 ดอลลาร์สหรัฐฯ) อย่างไรก็ตาม ING เตือนว่า แม้ราคามีแนวโน้มปรับตัวลงในปี 2025 แต่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง เนื่องจากปัจจัยตลาดยุโรป โดยเฉพาะการหยุดนำเข้าก๊าซผ่านท่อจากรัสเซียตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2024 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานและราคา

ตลาดก๊าซธรรมชาติ (XNGUSD) ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น โดยล่าสุดราคาทะลุกรอบแนวโน้มขาขึ้นไปแล้ว อย่างไรก็ตาม RSI กำลังเข้าใกล้ระดับ Overbought และอาจเกิดสัญญาณ Bearish ซึ่งบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่ราคาจะปรับตัวลง

หากเกิดการปรับฐาน ระดับแนวรับสำคัญอาจอยู่ที่ $4.250 นักลงทุนควรจับตาดูแนวโน้มราคาอย่างใกล้ชิด และพิจารณากลยุทธ์การลงทุนอย่างระมัดระวังเพื่อรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น

ราคาโลหะอุตสาหกรรมในปี 2025

แร่เหล็กก็เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กและการก่อสร้าง โดยปี 2024 ที่ผ่านมา การชะลอตัวของภาคการก่อสร้างและการผลิตของจีนส่งผลให้ความต้องการเหล็กลดลง ส่งผลให้ความต้องการแร่เหล็กลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ การผลิตที่เพิ่มขึ้นของบริษัทเหมืองแร่รายใหญ่ยังส่งผลให้มีอุปทานส่วนเกิน ในปี 2025 ดูเหมือนว่า การผลิตแร่เหล็กในจีนจะมีสัญญาณฟื้นตัว

โดยคาดว่าอุปทานของแร่เหล็กจะยังคงมีมากกว่าความต้องการ โดยเฉพาะในจีน ซึ่งคาดว่าจะมีการลดลงของการผลิตเหล็กในจีนในปี 2025 ที่ประมาณ 2% ส่งผลให้ราคาของแร่เหล็กยังคงอยู่ในภาวะที่มีอุปทานสูงและอาจจะไม่มีการเพิ่มขึ้นของราคามากนัก

อะลูมิเนียมก็เป็นอีกสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและปัจจัยด้านพลังงานในยุโรป ในปี 2025 การผลิตอะลูมิเนียมในจีนคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ขณะที่การผลิตในยุโรปจะฟื้นตัวจากวิกฤตพลังงานในปีที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลให้ราคาของอะลูมิเนียมมีการปรับตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2025

ส่วนตลาดทองแดงกำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนเนื่องจากอุปทานที่ไม่ยืดหยุ่นและการลงทุนที่ลดลง หากราคาทองแดงไม่ฟื้นตัวสู่ระดับ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน การลงทุนใหม่อาจถูกเลื่อนออกไป ส่งผลให้อุปทานในระยะกลางยิ่งตึงตัวขณะที่อะลูมิเนียมนั้น การผลิตอะลูมิเนียมในจีนที่ชะลอตัวลงและการหยุดชะงักของอุปทานวัตถุดิบ เช่น บอกไซต์และอลูมินา ทำให้ตลาดอะลูมิเนียมตึงตัวขึ้น คาดว่าการผลิตอะลูมิเนียมในจีนจะเติบโตเพียง 1% ในปี 2025

ในขณะที่ที่เงิน (Silver) เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ใช้เวลาในการปรับตัว แต่เมื่อเริ่มเคลื่อนไหวแล้วจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หลังจากการเข้ารับตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ อัตราส่วนทองคำต่อเงิน (Gold/Silver Ratio) พุ่งสูงขึ้นถึงระดับสูงสุดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2025 แต่ต่อมาได้ลดลงสู่ระดับปกติ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเงินในการเป็นผู้นำตลาด ตั้งแต่ต้นปี XAGUSD (ราคาเงินเทียบดอลลาร์สหรัฐ) ปรับตัวขึ้น 12% ทำได้ดีกว่าทองคำ (XAUUSD) ที่ปรับตัวขึ้นเพียง 9%

ความสัมพันธ์ของแร่เงินกับนโยบายของทำเนียบขาวไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เนื่องจากเงินมีความไวต่อสถานการณ์การผลิตอุตสาหกรรมและกิจกรรมทางธุรกิจในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วงสงครามการค้าครั้งแรกของทรัมป์ในปี 2018 ที่การขึ้นภาษีนำเข้าส่งผลให้ราคาเงินลดลง

ประวัติศาสตร์นี้สอนให้เทรดเดอร์เตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการทางการค้าต่อตลาดโลหะมีค่าตลอดทั้งปี 2025 นี้ ตลอดปีที่ผ่านมาพบว่า โลหะมีค่ามีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเงินเป็นผู้นำในการปรับตัวขึ้นเหล่านี้ เมื่อค่าพรีเมียมความเสี่ยงกลับสู่ภาวะปกติ ราคา XAGUSD มักจะปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 12% ต่อปี ในขณะที่ XAUUSD ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 6%

สรุปแล้ว ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในปี 2025 จะได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัยสำคัญ รวมถึงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสินค้าโภคภัณฑ์หลักอย่างโลหะอุตสาหกรรม น้ำมันดิบ และแร่เหล็ก การตัดสินใจของ OPEC+ ในการเลื่อนการเพิ่มกำลังการผลิตช่วยรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมัน ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติยังคงได้รับแรงหนุนจากตลาดสหรัฐฯ และยุโรป ส่วนโลหะอุตสาหกรรม เช่น แร่เหล็กและทองแดง ยังคงเผชิญกับภาวะอุปทานล้นตลาด ขณะที่อะลูมิเนียมและเงินมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจโลก นักลงทุนควรจับตาการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างใกล้ชิดเพื่อวางแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสม

คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ