2025-09-02
การเทรดเงินตราต่างประเทศ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Forex (FX) คือตลาดแลกเปลี่ยนสกุลเงินทั่วโลก ด้วยปริมาณการซื้อขายมากกว่า 7.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน จึงเป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดและมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก
หากคุณเคยแลกเปลี่ยนสกุลเงินท้องถิ่นเป็นสกุลเงินอื่นระหว่างเดินทางไปต่างประเทศ คุณก็ถือว่าได้เข้าร่วมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศรูปแบบพื้นฐานแล้ว อย่างไรก็ตาม ในการเทรด Forex บุคคลทั่วไปและสถาบันต่าง ๆ มักเทรดสกุลเงินเพื่อทำกำไร
แล้วการเทรดเงินตราต่างประเทศคืออะไรกันแน่? พูดง่าย ๆ ก็คือการซื้อสกุลเงินหนึ่งพร้อมกับขายอีกสกุลเงินหนึ่งในเวลาเดียวกัน โดยหวังว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อคุณ ในคู่มือนี้ คุณจะได้เรียนรู้ความหมายของการเทรดเงินตราต่างประเทศ วิธีการทำงาน ความสำคัญ ความเสี่ยง กลยุทธ์ และเคล็ดลับสำหรับการเริ่มต้น
การเทรดเงินตราต่างประเทศคือการแลกเปลี่ยนสกุลเงินหนึ่งกับอีกสกุลเงินหนึ่ง เพื่อหวังทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน โดยสกุลเงินมักจะเทรดเป็นคู่ เช่น EUR/USD (ยูโรกับดอลลาร์สหรัฐ) หรือ GBP/JPY (ปอนด์อังกฤษกับเยนญี่ปุ่น)
ตัวอย่างเช่น :
หากคุณเชื่อว่ายูโรจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ คุณควรซื้อ EUR/USD
หากคุณเชื่อว่ายูโรจะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ คุณควรขาย EUR/USD
การเข้าใจการเทรดเงินตราต่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญสำหรับใครก็ตามที่ต้องการสำรวจตลาดการเงิน เพราะสกุลเงินแตกต่างจากหุ้นหรือสินค้าโภคภัณฑ์ ตรงที่อัตราแลกเปลี่ยนได้รับอิทธิพลจากปัจจัยโลก เช่น:
ข้อมูลเศรษฐกิจ (อัตราเงินเฟ้อ, GDP, อัตราการว่างงาน)
นโยบายธนาคารกลาง (อัตราดอกเบี้ย นโยบายการเงิน)
เสถียรภาพทางการเมือง
เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์
สำหรับเทรดเดอร์ในอินเดียและแอฟริกาใต้ การเทรดเงินตราต่างประเทศ เปิดโอกาสให้เข้าถึงตลาดโลกโดยไม่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก
การเทรดเงินตราต่างประเทศเกิดขึ้นในตลาดโลกแบบกระจายศูนย์ (Decentralised Market) ที่ผู้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนสกุลเงินกันทางอิเล็กทรอนิกส์แบบ Over-the-Counter (OTC) ไม่มีตลาดกลางเหมือนตลาดหุ้น
ขั้นตอนการทำงาน:
1) คู่สกุลเงิน (Currency Pairs): ทุกการเทรดจะเกี่ยวข้องกับสกุลเงินสองสกุล ได้แก่ สกุลเงินฐาน (Base Currency) และสกุลเงินอ้างอิง (Quote Currency)
ตัวอย่าง: ใน EUR/USD - EUR คือสกุลเงินฐาน และ USD คือสกุลเงินอ้างอิง
2) ราคาเสนอซื้อ (Bid) และเสนอขาย (Ask) :
Bid คือราคาที่คุณสามารถขายได้
Ask คือราคาที่คุณสามารถซื้อได้
3) เลเวอเรจและมาร์จิ้น (Leverage & Margin):
เทรดเดอร์สามารถควบคุมขนาดการลงทุนใหญ่ด้วยเงินเพียงเล็กน้อยด้วยเลเวอเรจ (เช่น 1:100)
4) กำไรและขาดทุน (Profit & Loss):
ผลต่างของอัตราแลกเปลี่ยนจะกำหนดว่าคุณมีกำไรหรือขาดทุน
ตัวอย่างการเทรด Forex
สมมติว่าคุณเชื่อว่ายูโรจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์:
คุณซื้อ EUR/USD 1 ล็อตที่ราคา 1.1000
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ราคาก็เพิ่มขึ้นถึง 1.1050
กำไร = 50 pips โดยขนาดล็อตมาตรฐานจะเท่ากับกำไร $500
แต่หากราคาลดลงเหลือ 1.0950 แทน คุณก็จะขาดทุน $500
คู่เงินสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
1. คู่เงินหลัก (Major Pairs)
สกุลเงินเหล่านี้ประกอบด้วยสกุลเงินที่แลกเปลี่ยนกันทั่วไปที่สุดในโลก โดยมักจะจับคู่กับดอลลาร์สหรัฐ (USD)
ตัวอย่าง: EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY, USD/CHF
ทำไมควรเทรด? ให้สภาพคล่องสูงและสเปรดต่ำ
2. คู่เงินรอง (Minor Pairs)
คู่เงินเหล่านี้ไม่ได้มี USD แต่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินหลักอื่น ๆ
ตัวอย่าง: EUR/GBP, AUD/JPY, GBP/CHF
ทำไมควรเทรด? ช่วยสร้างโอกาสในการกระจายความเสี่ยง
3. คู่เงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs)
สกุลเงินเหล่านี้จับคู่กับสกุลเงินจากเศรษฐกิจที่กำลังพัฒนา
ตัวอย่าง: USD/INR, USD/TRY, EUR/SEK
ทำไมควรเทรด? มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่า แต่ความเสี่ยงก็มากขึ้น
ตลาดเงินตราต่างประเทศเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ โดยอาศัยการทับซ้อนของช่วงเวลาทั่วโลก:
ช่วงเวลาซิดนีย์ : เปิดตลาด (ซื้อขายในเอเชีย)
ช่วงเวลาโตเกียว : เวลาทำการตลาดหลักในเอเชีย
ช่วงเวลาลอนดอน : ช่วงเวลาที่ใหญ่ที่สุดและมีการเคลื่อนไหวมากที่สุด
ช่วงเวลานิวยอร์ก : ตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสอง ทับซ้อนกับลอนดอน
สำหรับเทรดเดอร์ ช่วงทับซ้อนระหว่างลอนดอนและนิวยอร์กมักเป็นช่วงที่ทำกำไรได้มากที่สุด เนื่องจากความผันผวนสูง
การเทรดเงินตราต่างประเทศมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก เพราะหากไม่มีตลาดการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนระหว่างประเทศจะเป็นไปไม่ได้
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อบริษัทอินเดียนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ บริษัทจะต้องแปลงเงินรูปีเป็นดอลลาร์ เช่นเดียวกัน เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางไปต่างประเทศ พวกเขาจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนสกุลเงินท้องถิ่น
สำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุน ตลาดเงินตราต่างประเทศมีข้อดีหลายประการ:
สภาพคล่องสูง: เข้าและออกการซื้อขายได้ง่าย
การเข้าถึงตลาดตลอด 24 ชั่วโมง 5 วัน: แตกต่างจากตลาดหุ้น ตลาดเปิดเกือบตลอดทั้งสัปดาห์
อุปสรรคในการเข้าต่ำ: โบรกเกอร์หลายแห่งอนุญาตให้ฝากเงินจำนวนน้อยก็เริ่มเทรดได้
หากคุณเป็นมือใหม่ในการเทรดเงินตราต่างประเทศ ขั้นตอนในการเริ่มต้นมีดังนี้:
เรียนรู้พื้นฐาน : ทำความเข้าใจว่าคู่เงิน pips และเลเวอเรจทำงานอย่างไร
เลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ : โบรกเกอร์เช่น EBC Financial Group ซึ่งได้รับการกำกับดูแลและมีใบอนุญาตในเขตอำนาจของตน
เปิดบัญชีทดลอง (Demo Account) : ฝึกฝนการเทรดโดยไม่ต้องเสี่ยงเงินจริง
พัฒนาแผนการเทรด : กำหนดระดับการยอมรับความเสี่ยง กลยุทธ์ และเป้าหมาย
เริ่มต้นในปริมาณน้อย : เริ่มต้นด้วยปริมาณน้อยก่อนที่จะขยายขนาด
ติดตามความเคลื่อนไหว : ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ และกิจกรรมการตลาด
ข้อผิดพลาดทั่วไปที่ควรหลีกเลี่ยง
ใช้เลเวอเรจเกินความเหมาะสม
เทรดโดยไม่มีแผน
ไม่จัดการความเสี่ยง
ตามข่าวลือแทนข้อมูลจริง
ข้อดี | ความเสี่ยง |
---|---|
เข้าถึงได้ด้วยเงินทุนขนาดเล็ก | เลเวอเรจสูงอาจทำให้ขาดทุนมาก |
การเทรดตลอด 24 ชั่วโมง 5 วัน | ความผันผวนของตลาดอาจทำให้ราคาขยับอย่างรวดเร็ว |
สภาพคล่องสูงเพื่อการเข้า/ออกที่ง่ายดาย | มีความเสี่ยงจากโบรกเกอร์โกงหรือไม่ได้รับการควบคุม |
โอกาสทำกำไรในตลาดขาขึ้นและขาลง | ต้องใช้วินัยสูงและเวลาเรียนรู้พอสมควร |
ได้ หลายโบรกเกอร์ เช่น EBC อนุญาตให้มือใหม่เริ่มเทรดด้วยเงินฝากเล็ก ๆ เพียง $10–$100
กำไรขึ้นอยู่กับเงินทุน กลยุทธ์ เลเวอเรจ และการจัดการความเสี่ยง บางคนทำกำไรเป็นประจำ แต่หลายคนก็ขาดทุน ดังนั้น การเทรดเงินตราต่างประเทศไม่ใช่รายได้ที่รับประกัน แต่เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง
ช่วงที่สภาพคล่องสูง เช่น ช่วงเวลาลอนดอน–นิวยอร์ก โดยเฉพาะช่วงที่ตลาดทับซ้อนกัน
เทรดเดอร์มักใช้แพลตฟอร์มการเทรด (MT4 หรือ MT5) อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค (RSI หรือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่) และปฏิทินเศรษฐกิจเพื่อติดตาม GDP, CPI และการดำเนินการของธนาคารกลาง
การเทรดเงินตราต่างประเทศเป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดและน่าตื่นเต้นที่สุดในโลก มอบโอกาสมากมายให้กับนักเทรดทั่วโลก ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ การเรียนรู้พื้นฐานตั้งแต่คู่เงินไปจนถึงกลยุทธ์ถือเป็นก้าวแรกสู่ความสำเร็จ
ด้วยการจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ และติดตามเหตุการณ์โลกอย่างต่อเนื่อง คุณสามารถนำตลาดเงินตราต่างประเทศมาเป็นเครื่องมือในการสร้างความมั่งคั่งในปี 2025 และปีต่อ ๆ ไป
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ